CONSENSUS: เก็ง TOP กำไร Q1/66 พุ่งแตะ 4 พันลบ.QoQ ขาดทุนสต็อกลด-ค่าการกลั่นฟื้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 27, 2023 10:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ไทยออยล์ (TOP) มีโอกาสที่จะเห็นกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ฟื้นตัวโดดเด่น แตะระดับ 4 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากรับรู้ขาดทุนสต็อกน้ำมันลดลง และค่าการกลั่นปรับตัวดีขึ้น ขณะที่จะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวขึ้น รับสถานการณ์ความไม่สงบในรัสเซียและยูเครน

นายปรินทร์ นิกรกิตติโกศล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 อยู่ที่ 4,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,800% (QoQ) จากฐานต่ำที่มีกำไร 147 ล้านบาทในไตรมาส 4/65

ความสามารถทำกำไรระดับดีขึ้นสาเหตุมาจาก 1. อัตราการกลั่น (utilization rate) คาดจะทำได้ที่ระดับ 112% หรือเพิ่มขึ้น 8% QoQ หลังปิดซ่อมบำรุงหน่วยกลั่นที่ 2 ในไตรมาสก่อน 2. ค่าการกลั่นคาดว่าจะสูงขึ้นเป็น 9.6 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หนุนด้วยต้นทุนน้ำมัน Crude Premium ลดลง และ Crack Spread น้ำมันเบนซินสูงขึ้น

3.อัตรากำไรอะโรเมติกส์เพิ่มขึ้นเป็น 1 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ตามทิศทาง Spread PX และ BZ 4. อัตรากำไรผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นสูงขึ้นตามอัตราการผลิตกลับเป็นปกติหลังผ่านช่วงปิดซ่อมบำรุงในไตรมาสก่อน 5.ขาดทุนสต็อกน้ำมันเหลือ 3.3 พันล้านบาท ลดลงจาก 7.1 พันล้านบาทในไตรมาส 4/65 6.ประเมินกำไร Oil Hedging และ FX รวมราว 850 ล้านบาท จากการปรับตัวลงของ Crack Spread น้ำมันดีเซลและเงินบาทแข็งค่า

อย่างไรก็ตาม กำไรในไตรมาส 1/66 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) คาดว่าจะปรับตัวลดลง 41% เนื่องจากฐานสูงจากราคาน้ำมันดิบได้รับอานิสงส์สถานการณ์รัสเซียและยูเครนทำให้มีกำไรจากสต็อกน้ำมันสูงถึง 1.2 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ หากกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 เป็นไปตามคาด จะคิดเป็น 32% ของการคาดการณ์กำไรสุทธิทั้งปีที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ลดลง 59% จากปีก่อน

สำหรับแนวโน้มไตรมาส 2/66 คาดกำไรสุทธิจะลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อทียบกับไตรมาส 1/66 ก็ไม่ได้โดดเด่น จากค่าการกลั่นลดลงตามดีมานด์ หลังผ่านฤดูหนาวมาแล้ว และยังมีความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว อีกทั้งในฝั่งของซัพพลาย ก็มีกำลังการผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น ขณะที่จีนและอินเดียก็เร่งส่งออกมาในภูมิภาค

ขณะที่ บล.พาย คาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/66 ที่ 4.4 พันล้านบาท (-38% YoY, >1000% QoQ) แม้ GIM จะขยายตัว 62% แต่กำไร YoY กลับปรับลดลงเพราะขาดทุนสต็อกน้ำมันที่ 3.5 พันล้านบาท ในไตรมาส 1/66 จากกำไรที่ 1.45 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 1/65

ส่วนกำไรพุ่งแรง QoQ ได้แรงหนุนจาก GIM ที่สูงขึ้น 12% และขาดทุนสต็อกน้ำมันที่น้อยลงเป็น 9.2 พันล้านบาท ในไตรมาส 4/65

หากไม่รวมกำไร/ขาดทุนสต็อกน้ำมัน คาดว่า market GIM ไตรมาส 1/23 จะโตเป็น 12.5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (+62% YoY, +12% QoQ) จากธุรกิจโรงกลั่นที่แข็งแกร่งด้วยค่าการกลั่นที่ 10.3 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (+60% YoY, +10% QoQ) หนุนจากส่วนต่างราคาเบนซินที่ดีขึ้น ด้านส่วนแบ่งธุรกิจอะโรเมติกส์และนำมันหล่อลื่นพื้นฐานก็คาดว่าจะปรับดีขึ้น QoQ หนุนจากส่วนต่างราคาอะโรเมติกส์ (PX, BZ) และอัตราการดำเนินงานที่ดีขึ้น ทั้งนี้บริษัทจะรับรู้กำไรพิเศษครั้งเดียวจำนวน 900 ล้านบาท จากสัญญาป้องกันความเสี่ยงและอัตราแลกเปลี่ยน (FX)

ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/66 คาดค่าการกลั่นของ TOP จะลดลงฉุด จากส่วนต่างราคาดีเซลและเชื้อเพลิงอากาศยานที่อ่อนตัว ทั้งนี้ค่าการกลั่นสิงคโปร์ตั้งแต่ต้นไตรมาส 2/66 ลดลงมาอยู่ที่ 4.7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือลดไปเกือบ 40% จากค่าเฉลี่ยในไตรมาส 1/66 ที่ 8.2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นเพราะเศรษฐกิจจีนที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาด, ความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลกถดถอย และการส่งออกน้ำมันกลั่นจากรัสเซียที่สูงขึ้น ซึ่งน่าจะไปกดดันค่าการกลั่นระยะสั้น

แต่เมื่อเทียบค่าการกลั่นเฉลี่ย 5 ปีที่ 5 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ก็ถือว่าระดับปัจจุบันไม่ได้เลวร้าย โดยส่วนต่างราคาเบนซินและดีเซลยังยืนเหนือค่าเฉลี่ยที่ 15 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนการลดปริมาณผลิตลงเพิ่มเติมของ OPEC+ ภายในเดือน พ.ค. และอุปสงค์น้ำมันในจีนที่ค่อย ๆ ฟื้นขึ้นก็คาดว่าจะหนุนค่าการกลั่นในครึ่งปีหลังได้

หุ้น TOP ให้มูลค่าพื้นฐานใหม่ที่ 64 บาท อิง 0.9x PBV 23E คิดเป็นส่วนลด 10% ต่อค่าเฉลี่ย 5 ปีและสะท้อนอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่ลดลง แม้กำไรสุทธิอาจลดลงในปีนี้ แต่น่าจะเป็นการกลับสู่ระดับปกติหลังแตะยอดสูงในปี 65

ขณะที่ บล.ฟิลลิป คาดไตรมาส 1/66 กำไรสุทธิของ TOP จะอยู่ที่ 4,056 ล้านบาท ฟื้นตัวอยางมีนัยสำคัญเมื่อเทียบ QoQ แต่ -43.5% YoY โดยกำไรสุทธิที่ฟื้นตัว QoQ มีแรงหนุนจาก GRM ที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจาก crude premium ลดลงมาที่ 4.96 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จาก 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 4/65 และ utilization rate ของโรงกลั่นที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 110% จากเดิม 103%ในไตรมาส 4/65

ธุรกิจอะโรเมติกส์ คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้น QoQ เนื่องจากคาดว่า GIM ในไตรมาส 1/66 จะอยู่ที่ราว 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ปรับตัวสูงขึ้นจาก 0.8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 4/65 ประกอบกับ utilization rate ที่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 70% จากเดีม 67% ในไตรมาส 4/65

ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น คาดว่า GIM จะทรงตัว QoQ อยู่ที่ราว 1.1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ utilization rate มีแนวโน้มกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้นอยู่ที่ราว 85% จากเดิม 43% ในไตรมาส 4/65 เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนส่วนราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง QoQ ส่งผลให้คาดว่า TOP จะการรับรู้ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันราว 3.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือคิดเป็น -3,347 ล้านบาท (ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันในไตรมาส 4/65 อยู่ที่ 9.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือคิดเป็น -9,178 ล้านบาท

แต่ผลการดำเนินงานยังคงมีแรงหนุนจากการรับรู้กำไรการป้องกันความเสี่ยงราว 500 ล้านบาท และการรับรู้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอีกประมาณ 200 ล้านบาท

          โบรกเกอร์           คำแนะนำ           ราคาเป้าหมาย
          หยวนต้า               ซื้อ                 60.00
          พาย                  ซื้อ                 64.00
          ฟิลลิป                 ซื้อ                 72.00
          เคจีไอ                ซื้อ                 62.00
          คิงส์ฟอร์ด            Trading BUY           58.50

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ