CONSENSUS: MAJOR เก็บภาษีโรงหนังไม่สะเทือน หนังฟอร์มยักษ์จ่อคิวฉายแน่น-ป๊อปคอร์นนอกโรงฮิต

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 24, 2023 10:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ธุรกิจโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยเป็นกลุ่มที่มีผู้แข่งขันน้อยราย มีเพียง 2 เจ้าใหญ่ครองตลาด คือ MAJOR และ SF ซึ่งจากนโยบายของพรรคก้าวไกลในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีแนวคิดจัดเก็บภาษีโรงภาพยนตร์ในอัตรา 1% ของค่าตั๋ว เพื่อเป็นทุนสนับสนุนผู้ผลิตหนังหน้าใหม่นั้น สร้างความกังวลต่อผลกระทบทางธุรกิจของ บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป (MAJOR) สะท้อนจากราคาหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลงกว่า 10% สวนทางมุมมองเชิงบวกต่อฤดูกาลหน้าหนังฟอร์มยักษ์จากฮอลีวู้ดส์ที่เข้าฉายต่อเนื่อง

นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส มองว่าแนวคิดจัดเด็บภาษีโรงภาพยนตร์ของพรรคก้าวไกล จะกระทบต่อผลการดำเนินงานของ MAJOR ค่อนข้างจำกัดมาก เพราะเมื่อดูเฉพาะรายได้จากการฉายหนังของโรงภาพยนตร์ในประเทศที่ประเมินไว้ในปี 66 ที่ 3.4 พันล้านบาท การเก็บภาษี 1% ของค่าตั๋ว จะคิดเป็นภาษีที่ต้องจ่าย 34 ล้านบาท ซึ่งคาดว่า MAJOR กับค่ายหนังจะแบ่งกันชำระ ทำให้ภาษีที่ MAJOR ต้องจ่ายโดยตรงมีเพียง 17 ล้านบาท กระทบต่อกำไรของ MAJOR เพียง 2-3% ของประมาณการกำไรทั้งปีที่คาดไว้ราว 700 ล้านบาท

หากมองที่การกลับมาฟื้นตัวขึ้นของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น จากหนังใหญ่ที่จ่อคิวฉายต่อเนื่อง และจำนวนผู้ชมที่กลับเข้ามาดูหนังในโรงภาพยนตร์ ทำให้เป็นอุตสาหกรรมที่เห็นการฟื้นตัวโดดเด่น และหากมองในอนาคตข้างหน้าในส่วนของพ.ร.บ.เซ็นเซอร์ ที่จะผ่อนปรนลง จะเปิดโอกาสให้หนังต่างประเทศและหนังไทยเข้ามาฉายในโรงภาพยนตร์มากขึ้น ส่งผลบวกต่อ MAJOR ซึ่งยังให้คำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 21.80 บาท

ด้านนักวิเคราะห์ บล.พาย มองผลกระทบของแนวคิดจัดเก็บภาษีโรงภาพยนตร์ 1% ของค่าตั๋ว ส่งผลกระทบต่อผลงาน MAJOR ที่จำกัดเช่นกัน เพราะภาษีที่ต้องเสียนั้นทาง MAJOR จะแบ่งจ่ายกับเจ้าของหนังคนละครึ่ง และเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ชมภาพยนตร์ที่จะเพิ่มขึ้นได้อีก และกลับเข้าสู่ใกล้ระดับก่อนเกิดโควิด-19 จากหน้าหนังระดับ Box Buster ที่จ่อคิวฉาย เชื่อว่าจะทำรายได้เกิน 100 ล้านบาท รวมถึงความสามารถในการปรับขึ้นราคาตั๋วหนังที่ยังมีช่องว่างสำหรับหนังทำเงินสูง

นอกจากนี้ MAJOR ยังมีแหล่งรายได้เสริมจากการขายป๊อปคอร์น โดยคาดว่าสัดส่วนการขายป๊อปคอร์นนอกโรงภาพยนตร์จะปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ความร่วมมือกับ บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) ที่ MAJOR เข้าไปถือหุ้น 10% จะเริ่มเห็นผล

แต่ปัจจัยที่ท้าทายธุรกิจโรงภาพยนตร์ในปัจจุบันมองว่าอยู่ที่แพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เนื่องจากหนังในโรงภาพยนตร์เข้าฉายในสตรีมมิ่งค่อนข้างเร็ว ทำให้ผู้ชมภาพยนตร์บางส่วนอาจรอดูผ่านสตรีมมิ่งแทนที่จะเข้ามาดูในโรงภาพยนตร์ แต่ถ้ามองในแง่คุณภาพและประสบการณ์การชมหนังทั้งภาพและเสียง รวมถึงการทานป๊อปคอร์นที่สดใหม่ โรงภาพยนตร์ยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนรักหนัง โดยยังให้คำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 21 บาท/หุ้น

          ทิสโก้                          ซื้อ                          23.20
          ยูโอบี เคย์เฮียน                  ซื้อ                          23.00
          เอเซีย พลัส                     ซื้อ                          21.80
          พาย                           ซื้อ                          21.00
          หยวนต้า                        ซื้อ                          20.25

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ