นายวิทยา เชียงอุทัย CISA Assistant Vice President บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) เปิดเผยว่า บริษัทจัดงบลงทุนในปี 67 ราว 14,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ราว 46% จะใช้รองรับการขยายโรงงานผลิตแบตเตอรี่ ขณะที่งบลงทุนสำหรับ EV Train 3%, Charging Station 13%, Waste Management 11%, Biodiesel 2%, Wind 15%, power 1% และที่เหลือเป็นธุรกิจอื่นๆ
ขณะที่บริษัท ตั้งเป้ารายได้ปีหน้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% โดยมาจากธุรกิจแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) 46%, โรงไฟฟ้า (Power) 26%, ไบโอดีเซล 22% และอื่นๆ อีก 6%
บริษัทตั้งเป้ายอดขายรถ EV ในปี 67 ที่ 3,300 คัน แบ่งเป็น EV Truck มากกว่า 1,650 คัน และที่เหลือเป็ฯ EV BUS จากสิ้นปี 66 คาดส่งมอบรถ EV ได้ใกล้เคียง 3,000 คัน โดยบริษัทยังคงโฟกัสในตลาด Commercial EV เนื่องจากสามารถเข้าไปบริหารจัดการได้ง่าย, มีดีมานด์ที่เติบโตต่อเนื่องทุกปี เห็นได้จากสถิติย้อนหลังยอดจดทะเบียน Commercial EV จะเฉลี่ยอยู่ที่ 80,000 คัน/ปี ซึ่งถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับผู้ประกอบการที่จะเข้าไปในตลาดนี้ ทำให้ในอนาคตคาดว่าปี 69 จะสามารถเพิ่มยอดขายได้ 10% หรือ 8,000 คัน
นอกจากนี้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์ค่อนข้างสูง มองว่าในอนาคตไทยจะหันมาใช้อีวีกันมากขึ้น ก็จะช่วยให้ต้นทุนโลจิสติกส์ลดลงและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น
ส่วน EV Truck หรือรถกระบะไฟฟ้า บริษัทก็มองการขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้านด้วย เนื่องจากมีศักยภาพอย่างมาก โดยจากการศึกษาขนาดตลาดของ Asia Truck market คาดเติบโตจากประมาณ 54,000 ดอลลาร์สหรัฐ ไปที่ 77,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นการเติบโต 42% จากปี 66-73 ซึ่งด้วยการที่ EA เป็นสมาชิ AFTA สามารถส่งสินค้าเข้าไปในประเทศสมาชิกโดยไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบ อีกทั้งยอดจดทะเบียนเฉลี่ยต่อปีของรถ Truck ในอาเซียนตั้งแต่ปี 62-63 สูงถึง 250,000 คัน
สำหรับสถานีชาร์จอีวี ปัจจุบันบริษัทมีการติดตั้งไปแล้วกว่า 500 แห่ง รองรับการใช้งานทั่วประเทศ โดยจะมุ่งเน้นตลาด Mega Charging Station มากขึ้น เพื่อรองรับกับดีมานด์ที่จะเพิ่มขึ้น รวมถึงจะขยายการติดตั้งสถานีชาร์จไปในตามสถานที่ต่างๆ เช่น ออฟฟิศ, คอนโดมิเนียม, Community mall เป็นต้น
บริษัทยังมีแผนขยายกำลังการผลิตโรงงานผลิตแบตเตอรี่ จากปัจจุบันที่มีกำลังการผลิต 1 GW จะขยายเป็น 2GW ในปี 67 เพื่อรองรับดีมานด์ภายนอกกลุ่มบริษัท
นายวิทยา กล่าวว่า ด้าน Bio-PCM บริษัทฯ มีแผนขยายตลาดส่งออกไปยังประเทศจีน สหรัฐ และยุโรป เพิ่มเติม จากปัจจุบันที่มีการส่งออกไปในประเทศญี่ปุ่น และเกาหลีใต้เป็นหลัก ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง, เสื้อผ้า ส่วนผลิตภัณฑ์ Green oil หรือ HVO ซึ่งมีคุณลักษณะใกล้เคียงกับมาตรฐาน EURO5 ก็จะมุ่งเน้นส่งออกไปในยุโรป
ขณะที่น้ำมันเครื่องบิน SAF ปัจจุบันยังมีการใช้งานน้อยมาก แต่ปัจจุบันองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ได้มีการประกาศให้สายการบินใช้ เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) ไม่น้อยกว่า 20% ของน้ำมันอากาศยานที่ใช้อยู่ ดังนั้นจะมีความต้องการเพิ่มขึ้น บริษัทจึงได้มีการเตรียมความพร้อมผลิตน้ำมัน SAF คาดว่าไตรมาส 1/67 จะเริ่มดำเนินการได้ รวมไปถึงในส่วนของการเดินทางเรือก็ต้องหันมาใช้พลังงานสะอาดก็จะเป็นโอกาสของบริษัท