วอลุ่ม Gold Futures คึกคักรับราคาทองพุ่ง "บัวหลวง" เก็งปีนี้แตะ 2,300 เฟดลดดอกเบี้ย-สงครามหนุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday April 3, 2024 11:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

วอลุ่ม Gold Futures คึกคักรับราคาทองพุ่ง

นายบรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการอาวุโส กิจการค้าหลักทรัพย์ บล. บัวหลวง เปิดเผยว่า ในปี 67 ถือเป็นปีที่ดีสำหรับทองคำ นับตั้งแต่ต้นปี 67 จนถึงวันที่ 1 เม.ย. ราคาทองคำปรับขึ้นจาก 2,062.7 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ สู่ระดับ 2,249.9 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ปรับเพิ่มขึ้น 9.1% และขึ้นไปทำ All Time High ที่ระดับ 2,265.6 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ในวันที่ 1 เม.ย. คิดเป็นผลตอบแทนถึง 9.8% ได้รับปัจจัยบวกมาจากการส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รวมถึงความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลางหลังอิสราเอลเดินหน้าโจมตีฮามาสต่อเนื่อง

ราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นหนุนให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรใน Futures เพิ่มขึ้นด้วย สะท้อนผ่านปริมาณซื้อขาย Futures อ้างอิงทองคำของหลักทรัพย์บัวหลวงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2 เดือนติด โดยเดือนม.ค. 67 เพิ่มขึ้น 2.5% และเดือนก.พ. 67 เพิ่มขึ้น 5.2% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ขณะที่ปริมาณซื้อขายรวมของตลาดในเดือน ม.ค. 67 เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แต่เดือนก.พ. 67 ปรับตัวลดลง 14.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า

โดย Gold Online Futures สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่มีสินค้าอ้างอิงเป็นทองคำแท่งค่าความบริสุทธิ์ 99.5% เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมตอบโจทย์การเก็งกำไรจากราคาทองคำในตลาดโลกโดยตรง สะท้อนด้วยปริมาณซื้อขายของบริษัทในเดือนก.พ. 67 ที่เพิ่มขึ้น 9.4% แม้ว่าปริมาณซื้อขายของตลาดจะลดลง 14.6%

สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในช่วงที่เหลือของปี 67 ทีมวิจัยหลักทรัพย์บัวหลวง มีมุมมองเป็นบวก แม้จะมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง โดยมองเป้าหมายราคาทองคำที่ระดับ 2,300 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ มี Upside ราว 2.2% นับจากราคาปิดวันที่ 1 เม.ย. 67 โดยมีปัจจัยหลักสนับสนุน คือ

1. มีแนวโน้มที่เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในปี 67 คาดจะเริ่มเห็นการปรับลดครั้งแรกในช่วงกลางปี 67 และจะปรับลดต่อเนื่องถึง 3 ครั้ง สู่ระดับ 4.50-4.75% จากปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ 5.25-5.50%

2. ธนาคารกลางทั่วโลกมีแนวโน้มเข้าซื้อทองคำต่อเนื่องในปี 67 ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้เพิ่มการถือครองทองคำอย่างมีนัยสำคัญ ปี 65 ซื้อ 1,082 ตัน และปี 66 ซื้อ 1,037 ตัน โดยจีนมีปริมาณทองคำสำรองเพิ่มขึ้น 15% จาก 1,948 ตัน เป็น 2,235 ตัน ขณะที่อินเดียมีปริมาณทองคำสำรองเพิ่มขึ้น 6.6% จาก 754 ตัน เป็น 804 ตัน

3. ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัจจุบันสถานการณ์ในตะวันออกกลางยังมีความรุนแรง และไม่มีทีท่าจบในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยได้อย่างดี

4. การเลือกตั้งเดือนพ.ย. 67 ของสหรัฐฯ หากโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการเลือกกลับเข้ามาเป็นประธานาธิบดีอาจเกิดความไม่แน่นอนของนโยบายด้านต่าง ๆ รวมทั้งด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยเฉพาะกับจีนมีโอกาสทำให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำเพื่อป้องกันความไม่แน่นอนที่มีโอกาสเกิดขึ้นในอนาคต

5. เศรษฐกิจในเอเชียที่ฟื้นตัวอาจหนุนความต้องการบริโภคจิวเวลรี่และการบริโภคในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 55.4% ของความต้องการทองคำทั้งหมดในปี 66

นายบรรณรงค์ กล่าวว่า จากราคาทองคำที่มีแนวโน้มเป็นขาขึ้น แนะนำนักลงทุนสร้างโอกาสเก็งกำไรในทองคำ ผ่านสินค้า Futures ที่อ้างอิงทองคำตลาดโลก ประเภท Gold Online Futures ซึ่งอ้างอิงทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 99.5% และซื้อขายกันด้วยสกุลดอลลาร์สหรัฐต่อน้ำหนักทองคำ 1 ออนซ์เช่นเดียวกับราคาทองคำในตลาดโลก ไม่มีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ง่ายและสะดวกต่อการซื้อขายสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาทองคำโลกโดยตรง และไม่ต้องการรับมอบหรือส่งมอบทองคำจริง

"ข้อดีของการเทรด Futures ที่อ้างอิงทองคำใน TFEX คือ สามารถสร้างผลตอบแทนได้ทั้งในภาวะราคาทองเป็นขาขึ้นและขาลง รวมถึงใช้เงินวางหลักประกันน้อยกว่าการซื้อขายทองคำจริง ๆ หรือที่เรียกว่า Leverage เช่นเทรด Gold Online Futures 1 สัญญา ใช้เงินวางหลักประกัน 23,975 บาท (ข้อมูลหลักประกัน ณ วันที่ 1 เม.ย. 67) เมื่อเทียบกับมูลค่าสัญญาราว 674,970 บาท คิดเป็น Leverage 28.2 เท่า นอกจากนี้ยังสามารถเข้าถึงการเทรดทองคำในตลาดโลกได้ง่าย ๆ ไม่จำเป็นต้องแลกเปลี่ยนเป็นเงินดอลลาร์ในการเทรด รวมทั้งคิดกำไรขาดทุนเป็นเงินบาทอีกทั้งมีกฎหมายรองรับ" นายบรรณรงค์ กล่าว

นายบรรณรงค์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันการเทรดสินค้าใน TFEX เริ่มเป็นที่สนใจของนักลงทุนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากจำนวนบัญชีใหม่ของบริษัทเพิ่ม 5% ในปี 66 เมื่อเทียบกับปีก่อน และปริมาณซื้อขายสินค้าใน TFEX รวมของบริษัทที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.1% ในปี 66 เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดรวมของบริษัทเทียบอุตสาหกรรมปี 66 ขึ้นมาเป็นอันดับ 5 อยู่ที่ 5.84% จากอันดับ 6 ในปี 65 ที่ระดับ 4.95%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ