หุ้น PCE ปิดเทรดวันแรก 2.44 บาท สูงขึ้น 0.16 บาท หรือ 7.02% จากราคา IPO ที่ 2.28 บาท มูลค่าซื้อขาย 805.88 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 2.60 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 2.66 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 2.40 บาท
นายประกิต ประสิทธิ์ศุภผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ (PCE) เปิดเผยว่า PCE เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นวันแรก ในหมวดเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หลังจากเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 750 ล้านหุ้น
PCE วางยุทธศาสตร์สร้างการเติบโตเพื่อก้าวสู่ผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจรระดับประเทศ ผ่านกลยุทธ์ที่เป็นจุดแข็ง ได้แก่ 1) ความเป็นผู้นำอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มแบบครบวงจร และความพร้อมการจัดการระบบซัพพลายเชน (Supply Chain) โดยกลุ่มบริษัทฯ มีกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์จากปาล์มน้ำมันตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ บริการคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ ตลอดจนกระบวนการขนส่งที่ทันสมัย ตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบ One Stop Service ด้วยประสบการณ์ตรงในอุตสาหกรรมกว่า 40 ปี 2) ทำเลที่ตั้งของกลุ่มบริษัทฯ อยู่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ของแหล่งวัตถุดิบ ใกล้ลูกค้า และท่าเรือ และ 3) กระบวนการผลิตและการควบคุมคุณภาพของกลุ่มบริษัทฯ ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล
บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุน IPO ไปเสริมศักยภาพการเติบโต โดยจะลงทุนขยายโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มดิบเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 1 เท่าตัว จากเดิม 60 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง เพิ่มเสถียรภาพในการจัดหาวัตถุดิบสำหรับนำเข้าสู่กระบวนการกลั่น รวมทั้งลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อขยายกำลังการผลิตน้ำมันปาล์มโอเลอีนเพื่อใช้ในการบริโภคเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวจาก 300 ตันต่อวัน
ตลอดจนใช้ยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการผลิตให้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายตลาดในทุกภาคส่วนทั้งในประเทศและตลาดส่งออก พร้อมทั้งลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการวิจัย และพัฒนาต่อยอดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์และสร้างโอกาสในตลาดใหม่ๆ ในอนาคต
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO ของ PCE ให้ราคาเป้าหมายหุ้น PCE ณ สิ้นปี 68 ที่ 3.60 บาท/หุ้น อ้างอิง PER 14.0 เท่า เนื่องจากมองว่าบริษัทมีรากฐานที่แข็งแกร่ง พร้อมเติบโตเพื่อรักษาความเป็นผู้นำด้วยการลงทุนด้านเทคโนโลยี R&D การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ขยายสู่ต่างประเทศมากขึ้น
กำไรปี 67-68 คาดว่าจะเติบโตสูง 46% CAGR จากเอลนิโญ คลายตัว, สัญญาขาย B100 ฉบับใหม่, ปรับ Product Mix และ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต อีกทั้งมีปัจจัยบวกเพิ่มเติมจากการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูก และนโยบายดีเซล B40 ของอินโดนีเซีย