"ทริส"เพิ่มอันดับเครดิต VNT เป็น A- จาก BBB+ ด้วยแนวโน้ม Stable

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday July 30, 2008 08:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. วีนิไทย (VNT) เป็นระดับ “A-" จากเดิมที่ “BBB+"  ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" 
โดยอันดับเครดิตที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการที่บริษัทมีเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการผลิตที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง คณะผู้บริหารที่มีความสามารถ และการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้แก่ Solvay S.A. ของประเทศเบลเยี่ยม บมจ. ปตท. เคมิคอล (PTTCH) และกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี)
นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณาถึงการขยายกำลังการผลิตที่แล้วเสร็จตามกำหนดซึ่งช่วยเพิ่มรายได้จากการดำเนินงาน
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากลักษณะที่ผันผวนของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ตลอดจนการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงจากผู้ผลิตในประเทศจีน และอัตราส่วนการทำกำไรที่ลดลงอันเป็นผลจากราคาเอธิลีนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหมายว่าบริษัทจะคงความสามารถในการรักษาโครงสร้างต้นทุนการผลิตให้อยู่ในระดับต่ำต่อไปได้และไม่มีปัจจัยที่เป็นผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่ออุตสาหกรรมพีวีซี โดยทริสเรทติ้งคาดว่าผู้บริหารของบริษัทจะยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังต่อไปทั้งในระยะปานกลางและระยะยาว
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทวีนิไทยเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายโพลีไวนิล คลอไรด์ หรือพีวีซี (Polyvinyl Chloride) ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ โดยมีกำลังการผลิต 280,000 เมตริกตันต่อปี คิดเป็น 28% ของกำลังการผลิตรวมภายในประเทศ บริษัทได้รับการสนับสนุนในการดำเนินงานจากผู้ถือหุ้นหลักอย่างเต็มที่ โดย Solvay ให้ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีและการจำหน่ายสินค้าในตลาดต่างประเทศ บริษัท ปตท. เคมิคอล เป็นผู้จัดหาเอธิลีน และกลุ่มซีพีเป็นลูกค้ารายสำคัญ บริษัทมีโรงงานผลิตพีวีซีที่มีกระบวนการผลิตครบวงจรซึ่งทำให้บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานที่สูงกว่าคู่แข่ง
อย่างไรก็ตาม จากการที่ราคาเอธิลีนเริ่มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าราคาของพีวีซีตั้งแต่ปี 2549 จึงทำให้อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับกว่า 20% มาอยู่ที่ 10%-15% สถานการณ์ด้านราคาน่าจะดำเนินต่อไปเนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง ส่วนการแข่งขันก็ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศซึ่งได้รับผลกระทบจากประเทศจีนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ เนื่องจากปริมาณอุปทานพีวีซีในประเทศจีนมีเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้จีนลดการนำเข้าพีวีซีลงอย่างขนานใหญ่แล้ว แต่ยังส่งผลให้ประเทศจีนกลายเป็นผู้ส่งออกในอนาคตอันใกล้
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในปี 2550 ฐานะทางการเงินของบริษัทวีนิไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างมาก โดยอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 10.1% ในปี 2549 เป็น 13.4% ในปี 2550 และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 15.4% ในไตรมาสแรกของปี 2551 บริษัทเริ่มดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ของกำลังการผลิตส่วนต่อขยายของไวนิล คลอไรด์ โมโนเมอร์ หรือวีซีเอ็ม (Vinyl Chloride Monomer) ในปี 2550 ซึ่งส่งผลให้รายได้จากการขายเพิ่มสูงขึ้นถึง 60% เมื่อเทียบกับปีก่อน และเงินทุนจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจาก 867 ล้านบาทในปี 2549 เป็น 1,665 ล้านบาทในปี 2550 และ 488 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปี 2551 การมีนโยบายด้านการเงินที่ระมัดระวังทำให้บริษัทมีภาระหนี้สินและดอกเบี้ยที่ต่ำมาก ณ สิ้นปี 2550 อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทอยู่ที่ 12.9% ลดลงจาก 14.1% ของปีก่อนเนื่องจากมีการจ่ายคืนเงินกู้ระยะยาวตามสัญญา อัตราส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 13.8% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2551 เนื่องจากมีการใช้วงเงินกู้ระยะสั้นเพื่อใช้เป็นเงินทุนในการดำเนินงาน บริษัทจัดว่ามีสภาพคล่องสูงจากการมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่เพิ่มขึ้นจาก 43.4% ในปี 2549 เป็น 88.8% ในปี 2550 และอยู่ที่ 23.7% (ยังไม่ได้ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปี) สำหรับไตรมาสแรกของปี 2551 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายที่แม้จะลดลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับดีที่ 22.4 เท่าในปี 2549 ที่ระดับ 15.1 เท่าในปี 2550 และ 12.4 เท่าในไตรมาสแรกของปี 2551

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ