บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) กำลังมองหาแหล่งเงินกู้ระยะยาว 700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 50% ของมูลค่าโครงการลงทุนระยะยาวตามแผนงานปี 50-54 หรือ 1.4 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าในช่วงปลายปีนี้จะสามารถกู้เงินล็อตแรกราว 1 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทตั้งเป้า EBITDA ไว้ที่ 1.2 พันล้านเหรียญ เชื่อว่าปีนี้คงจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เป็นขาลงไม่มาก เนื่องจากบริษัทได้ทำประกันความเสี่ยง 50% ของกำลังการผลิตน้ำมันเตาและดีเซล ซึ่งจะมีผลตั้งแต่ต้นส.ค.51 จนถึงกลางปี 52 โดยเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากที่คณะกรรมการบริษัทฯ เคยอนุมัติไว้ที่ 20% ทั้งนี้ ในปี 51 บริษัทตั้งเป้ากำลังการกลั่น 1.82 แสนบาร์เรล/วัน จากปีก่อนที่ 1.9 แสนบาร์เรล/วัน "ในไตรมาส 3 คิดว่าผลประกอบการเราคงไม่แย่ลงไปมาก เพราะกำไรประมาณ 50% มาจากปิโตรเคมี ซึ่งเรามีผลิตภัณฑ์ที่ทางตะวันออกกลางไม่มี ส่วนที่เหลือก็มาจากโรงกลั่น ซึ่งคิดว่าถ้าราคาน้ำมันลง ก็จะกระทบกับเราไม่แรง เพราะเราทำ hedging ไว้"นายปิติ ยิ้มประเสริฐ กรรมการผู้จัดการใหญ่ IRPC กล่าว นายปิติ มองว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบจากนี้ไปคงจะไม่ปรับขึ้นไปสูงกว่านี้อีก คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังราคาจะเคลื่อนไหวในช่วง 90-100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากช่วงครึ่งปีแรกที่ราคาปรับขึ้นมาสูงกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลมาก ดังนั้น จึงคาดว่าสต็อกน้ำมันของบริษัททีมีอยู่ 2.6 ล้านบาร์เรลมีแนวโน้มจะเกิดผลขาดทุน(Stock loss)มากกว่ากำไร(Stock gain) "ปลายปีสต็อกน้ำมันโอกาสจะเป็น loss มากกว่า gain เพราะว่าราคาน้ำมันดิบในเดือนนี้ลงไปแล้ว 20 เหรียญ คงต้องมาดูทั้งปีโดยเฉลี่ย"นายปิติ กล่าว จากคาดการณ์ที่ว่าราคาน้ำมันจะเป็นขาลง บริษัทได้ขออนุมัติจากคณะกรรมการบริษัททำประกันความเสี่ยง(hedging)ไว้ระดับ 50% จากเดิมให้มติให้ที่ระดับ 20% โดยบริษัทเพิ่งเริ่มทำประกันความเสี่ยงน้ำมันเตาและดีเซลมาได้ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งถือเป็นจังหวะเหมาะ โดยขณะนี้บริษัทได้กำไรจากการทำประกันความเสี่ยงกว่า 14 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว ทั้งนี้ ในเดือนส.ค. บริษัททำ hedging ผลผลิตน้ำมันไว้จำนวน 3 แสนบาร์เรล เดือน ก.ย. hedging จำนวน 5.5 แสนบาร์เรล และในไตรมาส 4/51 ทำ hedging ไว้แล้ว 5 แสนบาร์เรล และจะทำต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 52 ทั้งนี้ โรงกลั่นบริษัทมีผลผลิตน้ำมันดีเซล 40% และ น้ำมันเตา 30% ของกำลังการกลั่นทั้งหมด ประกอบกับ บริษัทพยายามลดค่าใช้จ่ายการบริหารลง 10% รวมทั้งลดค่าใช้จ่ายพนักงานโดยมีโครงการ early retire ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะลดจำนวนพนักงานลงเหลือ 5 พันคน จากเมื่อ 2 ปีที่แล้วมีพนักงานอยู่ทั้งหมด 9 พันคน โดยปีก่อนมีพนักงานเข้าโครงการดังกล่าวราว 1.8 พันคน สำหรับโครงการลงทุนตามแผนงานของบริษัทในช่วงปี 50-54 มูลค่าโครงการ 1.4 พันล่านเหรียญ ขณะนี้เดินหน้าไป 4 โครงการจาก 8 โครงการ นายปิติ กล่าวว่า ทุกโครงการยังดำเนินการไปตามแผน ส่วนแหล่งเงินจะมาจากเงินกู้ระยะยาว 50% ส่วนที่เหลือจะมาจากผลกำไรของบริษัทและหุ้นกู้ "เราจะใช้เงินกู้ประมาณ 700 ล้านเหรียญ ทั้งจากแบงก์ต่างประเทศและในประเทศ ใจผมอยากได้ 10 ปี แต่เขาคงให้กู้ 5 ปี ก็โอเค แล้วค่อยออกบอนด์มาคืน"นายปิติ กล่าว ทั้งนี้ จะเสนอบอร์ดขออกหุ้นกู้อายุ 7-10 ปี ในปลายปี และเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการประชุมสามัญประจำปี ในต้นปี 52 นายปิติ กล่าวว่า โครงการนำนาฟทามาใช้เป็นวัตถุดิบที่ก่อนหน้านี้บริษัทเคยมีแนวคิดจะดำเนินการเอง เมื่อศึกษาแล้วปรากฎว่าราคานาฟทาจะยังสูงต่อไปจนถึงปี 54 จึงได้ยกเลิกโครงการดังกล่าวไป โดยจะมีนาฟทา 1 ล้านตัน/ปีจากโครงการปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันตามมาตรฐานยูโร IV เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ขณะที่กำลังการกลั่นเพิ่มเป็น 2.6 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่มีกำลังการกลั่น 2.15 แสนบาร์เรล/วัน "ผลประกอบการเราจะค่อยๆดีขึ้น ถ้าโครงการ ปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมัน เสร็จ Profit เราน่าจะถึง 2 หมื่นล้านบาท"นายปิติ กล่าว ในช่วง 6 เดือนแรกปี 51 บริษัท มีรายได้ 1.35 แสนล้านบาท โต 27.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน(YoY) EBITDA อยู่ที่ 9,054 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.6% YoY และ กำไรสุทธิอยู่ที่ 6,753 ล้านบาท ลดลง 12.5% YoY