(เพิ่มเติม) CPALL ปีนี้ยังแบกภาระขาดทุน"โลตัส เซี่ยงไฮ้"หลังเลื่อนขายหุ้นไป31ธ.ค.

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 19, 2008 17:16 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          บมจ. ซีพี ออลล์ (CPALL) เผยปีนี้ยังแบกภาระขาดทุน"โลตัส เซี่ยงไฮ้"หลังเลื่อนขายหุ้นไปเป็น 31 ธ.ค. ในส่วนรายได้คาดเติบโต 15% จาก 8.18 หมื่นล้านบาทในปี 50 พร้อมตั้งงบลงทุนราว 3.3-3.5 พันล้านบาทปีนี้ เพื่อใช้ในการขยายสาขา-คลังสินค้า รวมทั้งปรับปรุงสาขาเดิม ส่วนการขยายสาขาค้าปลีกไปเวียดนามคาดได้เห็นภายใน 6-18 เดือน
นายเกรียงชัย บุญโพธิ์อภิชาติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ด้านการเงินและลงทุนสัมพันธ์ CPALL เปิดเผยว่า เนื่องจากยังไม่สามารถตกลงระยะเวลาในการซื้อขายได้ รวมถึงกระบวนการในการขออนุญาตการเปลี่ยนผู้ถือหุ้นตามกฎหมายของจีนจะใช้ระยะเวลานานทำให้บริษัทขยายเวลาออกไปถึงวันที่ 31 ธ.ค.จากก่อนหน้านี้คิดว่าจะสามารถดำเนินการได้แล้วเสร็จในวันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นอกจากรูปแบบการจดทะเบียนเปลี่ยนผู้ถือหุ้นแล้ว ก็อาจจะมีการเจรจาในการขายรูปแบบอื่นก็ได้เพื่อความเหมาะ
สม
"เรื่องโลตัสจีนเราไม่คิดว่ารัฐบาลจะไม่อนุมัติ เพียงแต่จะใช้ระยะเวลาที่อาจล่าช้าเท่านั้นเพราะกฎเกณฑ์ และเงื่อนไข
ของจีนจะใช้ระยะเวลาไม่เหมือนบ้านเรา เราจึงเลือกขยายเวลาไปดีกว่าไม่อยากให้ใครรอคอย และในการขายโลตัสจีน สาขาไหน
ที่ไม่ดีก็ต้องโอนไปให้เครือเจริญโภคภัณฑ์ดูแล ซึ่งก็ต้องใช้กระบวนการอีก" นายเกรียงชัย กล่าว
นอกจากนี้บริษัทยังมองหาช่องทางใหม่ๆในการเพิ่มรายได้ซึ่งรวมถึงประเทศเวียดนามที่บริษัทมีความสนใจที่จะเข้าไปแต่
คาดว่าคงจะใช้ระยะเวลา 6-18 เดือนข้างหน้า เพราะต้องรอให้ทางการของเวียดนามเปิดเสรีก่อนซึ่งจะเปิดในวันที่ 1 ม.ค.52 ที่
จะเริ่มให้ส่งใบอนุญาตได้แต่การไปเวียดนามนั้นก็เป็นแผนในการเพิ่มรายได้ในระยะยาว แต่การให้ความสำคัญในตอนนี้เป็นในประเทศ
มากกว่า
ด้านนายพิทยา เจียรวิสิฐกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CPALL กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจจะชะลอและราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น แต่ CPALL ได้รับผลดีโดยผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าจากร้านใกล้บ้านแทนการไปซื้อที่ไกล ๆ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางและในครึ่งปีหลังก็เชื่อว่าจะมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องทั้งในตจว.และกทม.โดยในครึ่งแรกยอดขายตจว.ดีขึ้นมากจากราคาสินค้าเกษตรทำให้กระตุ้นกำลังซื้อ ทำให้มองว่าทั้งปีรายได้รวมจะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อน นอกจากนี้บริษัทก็จะพยายามเพิ่มสินค้าในร้านเพื่อเพิ่มมาร์จินและเพิ่มอาหารพร้อมรับประทานซึ่งสะดวกสบายมากขึ้น
สำหรับแผนการลงทุนในปีนี้ที่ 3.3-3.5 พันล้านบาทนั้น จะแบ่งเป็น ใช้ในการเปิดสาขาใหม่ 400-450 สาขา ประมาณ 1,400 ล้านบาท, คลังสินค้า 3 แห่ง ใช้เงินประมาณ 800-1,000 ล้านบาท และระบบไอที 500 ล้านบาท การปรับปรุงร้านเดิม 600 ล้านบาท ซึ่งคาดว่า สาขาก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 5,000 สาขาในกลางปี 52 และ 7,000 สาขาในปีถัดไป
"บริษัทคงไม่จำเป็นที่จะต้องกู้เงินเพื่อลงทุนอะไรในช่วงสั้นๆ นี้เพราะปัจจุบันยังมีกระแสเงินสด 7,000 กว่าล้านบาท ซึ่ง
เพียงพอต่อการลงทุนและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน แต่บริษัทก็จะกระตุ้นกำลังซื้อเพื่อการตอกย้ำเหมือนเดิม" นายพิทยา กล่าว
ที่ผ่านมา การเปิดสาขาในประเทศไม่มีปัญหาเพียงแต่จะต้องพิจารณาในเรื่องของทำเลที่เหมาะสมเท่านั้น เพราะการแข่งขันที่สูงและการปรับขนาดของคู่แข่ง

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ