นายชัยศิลป์ แต้มศิริชัย กรรมการผู้จัดการ บมจ.สหมิตรเครื่องกล(SMIT)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัท โดยอาจทำให้รายได้ในปี 51 ไม่ได้ตามเป้าหมาย และยังไม่แน่ว่าจะทำได้เท่าปีก่อนหรือไม่ เพราะยังต้องรอดูสถานการณ์ในช่วงไตรมาส 4/51 ก่อน "เรากระทบมาเป็นเดือนแล้ว แบงก์ก็ชะลอปล่อยกู้ ลูกค้าก็ชะลอ การดำเนินธุรกิจก็ลำบาก เหนื่อย ช่วงครึ่งปีหลังก็ต้องพยายามรักษาสภาพ" กรรมการผู้จัดการ SMIT กล่าวว่า แต่เดิมในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,811 ล้านบาท แต่ในช่วงไตรมาส 2/51 ทำรายได้ 400 กว่าล้านบาท จากไตรมาส 1/51 ที่มีรายได้ที่ 482.41 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าไตรมาส 3/51 รายได้คงจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเมืองค่อนข้างมาก เช่นเดียวกับผู้ประกอบธุรกิจรายอื่น ๆ "ไตรมาส 3/51 เหนื่อยที่สุดเพราะเป็นช่วงที่พันธมิตรมีการชุมนุม 100 วันพอดี เป็นช่วงที่ลำบากมาก...ปีนี้รายได้รวมจะเป็นเท่าไร ยังดูไม่ออก เพราะในสภาพอย่างนี้ไม่รู้จะทำอย่างไร อาจจะตกจากเป้าที่เคยตั้งไว้"นายชัยศิลป์ กล่าว สำหรับยอดขายเครื่องจักรและอุปกรณ์เหล็ก แม้ว่ายังมีคำสั่งซื้อเข้ามาเรื่อย ๆ แต่ก็ลดลงจากไตรมาส 2/51 โดยเฉพาะเครื่องจักรอุตสาหกรรม ลูกค้าส่วนใหญ่ใช้เงินกู้เพื่อจัดซื้อเครื่องจักร ซึ่งในระยะนี้ธนาคารค่อนข้างเข้มงวดในการปล่อยกู้ประเภทเช่าซื้อของภาคธุรกิจ ทำให้แม้จะมีออร์เดอร์เข้ามาเป็น 100 ตัวเพราะสินค้าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี แต่ก็ต้องพบอุปสรรคการปล่อยกู้ของธนาคาร ลูกค้าจึงต้องชะลอการรับมอบออกไปและบริษัทก็ยังไม่สามารถรับรู้รายได้ ส่วนธุรกิจโรงชุบเหล็กและการผลิตใบมีดอุตสาหกรรมที่เข้ามาช่วยเสริม ก็ยังทำรายได้ให้บริษัทเดือนละ 4-5 ล้านบาท ถือว่าไม่ขาดทุน "ช่วงนี้ต้องรอสถานการณ์บ้านเมืองชัดเจนอย่างเดียว เพราะลูกค้ามี เพียงแต่ว่าแต่ละคนก็เหนื่อยๆ กันทั้งนั้น"นายชัยศิลป์ กล่าว ขณะที่ในแง่ของกำไรสุทธิก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งฝ่ายบริหารกำลังประเมินอยู่ อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทก็ยังไม่มีแผนจะต้องใช้เงินลงทุนเพิ่มเติม เพียงแค่รักษาตัวให้รอดเท่านั้น ปีหน้าจึงจะมาดูกันใหม่ โดยหากการเมืองมีความชัดเจน รัฐบาลมั่นคงขึ้น ก็คงจะทำให้สถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้น รวมทั้งธุรกิจของบริษัทด้วย อนึ่ง ปี 50 SMIT ที่มีกำไรสุทธิ 166 ล้านบาท งวด 6 เดือนแรกปีนี้กำไร 81 ล้านบาท นายชัยศิลป์ กล่าวว่า การที่ราคาหุ้น SMIT ลดลงมามากในขณะนี้ถือว่าต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (BV) ที่อยู่ในระดับ 2.59 บาท ซึ่งขณะนี้ผู้บริหารอยู่ระหว่างหารือและศึกษากันว่าควรจะมีการซื้อหุ้นคืนดีหรือไม่ "ตอนนี้มีแผนที่จะศึกษาว่าจะซื้อหุ้นคืน ถึงแม้จะมีเงินไม่เพียงพอเราก็จะค่อยๆ ซื้อ อย่างไรก็ตาม แค่อยู่ในช่วงศึกษาหารือกันว่าจะซื้อหุ้นคืนดี"นายชัยศิลป์ กล่าว