(เพิ่มเติม) "ปกรณ์"คาดหุ้นไทยมีโอกาสร่วงอีกตามวิกฤติโลก เอกชนมองยังผันผวนต่อปีหน้า

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 22, 2008 18:04 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธาน คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) เชื่อว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสที่จะปรับตัวลงได้อีก และยังคงเห็นการขายของนักลงทุนต่างชาติ ถึงแม้จะมีการขายสุทธิแล้วตั้งแต่ต้นปีนี้ถึงปัจจุบัน 1.3 แสนล้านบาท เนื่องจากปัญหาวิกฤตทางการเงินยังอยู่ และต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ส่วนจะปรับตัวลงมากแค่ไหนนั้น ยังไม่สามารถชี้ชัดได้ ขึ้นอยู่กับปัญหาดังกล่าวว่าจะจบได้เมื่อไร

สำหรับมาตรการที่ทางการไทยออกมาในการกระตุ้นตลาดหุ้นในช่วงสั้น ไม่ว่าจะเป็น matching fund หรือการซื้อหุ้นคืน คงจะไม่ได้ช่วยได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้ภาคธุรกิจขาดความเชื่อมั่นและยังขาดความคล่องตัวในการกู้เงิน จากเดิมที่จะกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ใดก็ได้ ก็จะดูเหมือนว่าเป็นการปิดโอกาสในการลงทุนในตลาดหุ้นด้วย

นายปกรณ์ กล่าวในการสัมมนา"ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกถดถอย"ว่า ทางการซึ่งถือว่ามีเม็ดเงินมากควรที่จะเข้ามา take action ไม่ให้การปรับตัวของตลาดหุ้นไทยลงไปลึก โดยควรจะริเริ่มจัดหากองทุนขนาดใหญ่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น เพราะเชื่อว่าวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นในอนาคตอาจจะส่งผลต่อระบบสถาบันการเงินไทย จะทำให้ธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้ธุรกิจขนาดกลาง-เล็กกู้ยืมได้ยากขึ้น อีกทั้งการจัดหากองทุนก็ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกทางหนึ่งด้วย

หากพิจารณาจะพบว่ายังมีหุ้นใน SET 50 จำนวนกว่า 20 บริษัทที่มีการเทรดต่ำกว่าค่า P/E 1 เท่า และยังมีอีกกว่า 13 บริษัทฯที่มีการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงและสม่ำเสมอ ซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่ดีในการลงทุน และภายใต้สถานการณ์วิกฤตก็เป็นโอกาสให้ตลาดหลักทรัพย์มีการปรับโครงสร้างองค์กร

นายปกรณ์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องที่บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ในลักษณะ Dual Listing ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อตลาดหุ้นไทย เพราะเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนในการลงทุน และยังเป็นการเพิ่มมาร์เก็ตแคปให้กับตลาดหุ้นไทยด้วย

นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเชียพลัส(ASP) ในฐานะรองประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ภายใต้วิกฤตทางการเงินที่เกิดขึ้น แบงก์ชาติควรที่จะปรับนโยบายจากที่เคยมุ่งในการดูแลเงินเฟ้อ หันมาดูแลอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ และหามาตรการที่จะเอื้อต่อภาคธุรกิจให้อยู่ได้ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เพราะคงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะต้องส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างแน่นอน และจะส่งผลต่อเนื่องต่อภาคธุรกิจของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยด้วย

ทั้งนี้ หากพิจารณาการปรับตัวลงแรงของราคาหุ้นในครั้งนี้ถือเป็นการทำลายสปิริตของผู้ประกอบการบริษัทฯอย่างรุนแรง และหุ้นขนาดใหญ่ใน SET 50 ก็มีหลายตัวที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี

สำหรับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในช่วงที่ผ่านมานั้น มองว่าน่าจะเป็นแรงขายของเฮดจ์ฟันด์ และน่าจะขายหมดไปแล้ว เพราะเดือนกันยายนเพียงเดือนเดียวเฮดจ์ฟันด์ทั่วโลกประสบภาวะขาดทุนอย่างหนักถึง 4.7% ในเดือนก.ย. ส่วนกองทุนที่ลงทุนระยะยาวจะมีการปรับพอร์ตลงทุน โดยอาจจะ switch การลงทุนไปยัง sector อื่น จากเดิมที่ลงทุนในกลุ่มพลังงานเป็นหลัก โดยเท่าที่ติดตามส่วนใหญ่ตอนนี้จะหันไปลงทุนในบริษัทจดทะเบียนที่เน้นการลงทุนในประเทศเป็นหลัก มีหนี้สินน้อย และสภาพคล่องสูง

นายกัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการ บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) และในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจากปีนี้ถึงต้นปีหน้า(2552) ยังคงเป็นตลาดหมีที่จะมีความผันผวนค่อนข้างมาก เนื่องมาจากรับผลกระทบวิกฤตทางการเงินที่จะเริ่มเห็นผลกระทบต่อ Real Sector ขึ้นกับว่าจะมีผลมากหรือน้อย และรุนแรงแค่ไหน และมีโอกาสอย่างมากที่จะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวตามไปด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นและตลาดรับรู้แล้ว ตลาดหุ้นก็จะเข้าสู่ภาวะตลาดหมีอย่างแท้จริง ก่อนที่จะมีการพลิกฟื้นตัวขึ้นมาได้ แต่อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มองว่าผลกระทบจะน้อยกว่าเมื่อครั้งวิกฤตปี 40


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ