"หม่อมอุ๋ย"แนะแบงก์พาณิชย์ตั้งกองทุนซื้อหุ้นลดการพึ่งเม็ดเงินต่างชาติ

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday October 29, 2008 16:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรมว.คลังและผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ "ความเสี่ยงจากวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา"ว่า ธนาคารพาณิชย์ควรจะรวมตัวกันตั้งกองทุนเพื่อลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่ไม่มีความเสี่ยงและให้ผลตอบแทนที่ดี เพื่อทำให้ตลาดหุ้นไทยไม่พึ่งพาเม็ดเงินจากต่างชาติเป็นหลัก

"คนไทยมีเงินออมจากการฝากเงินมาก ทำให้ไม่ยากที่จะทำ และกระจายไปยังนักลงทุนทั่วประเทศได้ เพราะว่าหากไม่ช่วยกันก็จะไม่ทำให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวได้ เพราะปัจจุบันต่างชาติเทขายอย่างต่อเนื่อง และคงจะเห็นการขายต่อไปเรื่อยๆ" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวในการเสวนา “The Future of Thai Economy”

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า ไทยมีทุนสำรองมาก 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หากกรณีต่างชาติขายสุทธิหุ้นที่ถืออยู่หมดทั้งก้อน ก็ยังเหลือเม็ดเงินช่วยประเทศที่จะรองรับฟื้นตัวได้ แต่การที่ฟื้นตัวได้ช้า เป็นโอกาสในการกระตุ้นการลงทุนของคนในประเทศ อยู่ที่ว่าจะลำเลียงเงินทุนจากที่ไหนมามากพอ สิ่งที่ดีที่สุดตอนนี้ คือ การดึงเม็ดเงินจากเงินฝากในประเทศที่มีอยู่จำนวนมากเข้ามาลงทุน

"การที่ธนาคารจะตั้งกองทุน นอกเหนือจากทำให้มีสภาพคล่องผู้ฝากเงินแล้ว ยังทำให้ขนาดของตลาดหุ้นมีความสำคัญมากขึ้นอีกด้วย ตรงนี้อยากฝากให้ธปท. และตลท.เป็นผู้ให้ความสำคัญ" อดีต รมว.คลัง ระบุ

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร มองว่าปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรปคงยังไม่สามารถฟื้นตัวได้เร็วทันปลายปี 52 นี้ เพราะเชื่อว่าสหรัฐแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เพราะมุ่งแก้ปัญหาเพียงซีกเดียวด้วยการทำให้สถาบันการเงินมีทุนที่จะทรงตัวอยู่ได้ แต่ไม่ได้ทำให้การบริโภคฟื้นตัวขึ้น และจากการที่ราคาหุ้นปรับลงไปถึง 40-45% ทำให้ประชาชนหยุดการใช้จ่ายด้วย เพราะคนสหรัฐส่วนใหญ่ออมเงินในหุ้นมาก จึงไม่ได้ทำให้การบริโภคฟื้นตัวเร็วอย่างที่คิด

นอกจากนี้ การที่ปัญหาได้ลุกลามออกไป ทำให้ประเทศไทย ในฐานะประเทศคู่ค้าต้องได้รับผลกระทบอยู่แล้ว โดยขณะนี้ธุรกิจไอทีเริ่มเห็นภาพถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นแล้ว และมองว่าตัวที่อาจได้รับผลกระทบต่อไป คือ ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าคงทน

แต่อย่างไรก็ดี ประเทศไทย ยังมีข้อดีจากเรื่องของสินค้าเกษตร แต่ต้องยอมรับว่าการที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงในขณะนี้ส่งผลต่อราคาพืชผลทางการเกษตรปรับลดลงไปด้วย ทำให้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจเริ่มช้าลง

ในส่วนของสถาบันการเงินไทย คงไม่ได้รับผลกระทบมาก เพราะสถาบันการเงินของไทยมีหนี้น้อยมาก และมีการตัดหนี้สูญไปแล้ว และสินทรัพย์ของธนาคารเป็นการปล่อยกู้ปกติ ไม่ใช่ลงทุนในอนุพันธ์ที่มีปัญหา อีกทั้งมีการลงทุนในหุ้นไม่มาก เพราะมีข้อจำกัด ซึ่งกลายเป็นข้อดี และตอนนี้แข็งแกร่งมากขึ้นดูได้จาก เงินกองทุนที่ดีขึ้น ธนาคารทหารไทย (TMB) ส่วน ธนาคารไทยธนาคาร (BT)จะเห็นทิศทางดีขึ้น 1-2 วันนี้ที่จะได้เม็ดเงินจากกองทุนฟื้นฟูฯ เข้ามาช่วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ