PAP ตั้งเป้ารายได้ปี 52 โต 15% เน้นเพิ่มสัดส่วนลูกค้าโครงการในประเทศ

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 14, 2008 10:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมชัย เลขะพจน์พานิช รองประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บมจ.แปซิฟิกไพพ์(PAP)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้และยอดขายสำหรับปี 52 จะมีอัตราเติบโต 15% จากปีนี้เชื่อว่ายอดขายน่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปี 50 ที่ 3.5 พันล้านบาท

แผนงานในปีหน้าที่จะทำให้บริษัทเติบโตมั่นคง คือ เน้นการขยายตลาดในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะการขายสินค้าเข้าโครงการเมกะโปรเจ็คต์ผ่านลูกค้าใหญ่ ๆ เช่น บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น(STEC)ในโครงการแอร์พอร์ตลิ้งค์, บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์(ITD) ฯลฯ

บริษัทคาดหมายว่าในปีหน้าสัดส่วนลูกค้าที่เป็นโครงการฯ จะเพิ่มเป็น 20% จาก 10-15% ในปัจจุบัน ขณะที่ลูกค้า Retail จะลดลงจาก 60-70% มาอยู่ที่ 65%

"สาเหตุที่ต้องปรับในส่วนของลูกค้า Retail ลง เนื่องจากสินค้าที่ใช้ในงานโครงสร้างยังไม่เป็นที่รู้จักมาก ขณะที่งานเมกะโปรเจ็คต์ เช่น สนามบิน แอร์พอร์ตลิ้ง ใช้เหล็กที่เป็นท่อดีกว่า ง่ายกว่าเอาเหล็กเศษๆ ไปเชื่อม"นายสมชัย กล่าว

ปัจจับุน สัดส่วนรายได้ของ PAP มาจากในประเทศ 85-90% ที่เหลือ 10-15% เป็นการส่งออกไปออสเตรเลียและตะวันออกกลาง และตอนนี้กำลังพัฒนาตลาดอเมริกาและยุโรปอยู่ ด้วยการส่งสินค้าชิ้นเล็กๆ ไปทดลองตลาด เพื่อดูผลกระทบของตลาดว่าความต้องการใช้เป็นอย่างไร ตอบรับสินค้าของเราหรือไม่

"ตอนนี้ทางอเมริกาเจอปัญหาการเงินด้วยก็เลยคาดเดาลำบากว่าตลาดจะเป็นยังไง"นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวถึงผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3/51 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 57.40 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 3/50 ที่มีกำไร 1.77 ล้านบาทว่า สาเหตุมาจากมีการสต็อกวัตถุดิบไว้มาก และในไตรมาส 3 ราคาวัตถุดิบของโลกปรับตัวลดลงหมด ทั้งราคาน้ำมัน ราคาเหล็ก พอขาดทุนจาก Inventory ตรงนี้เราต้องกันสำรองเสื่อมค่าของสินค้าคงคลัง

แต่หากพิจารณาผลประกอบการงวด 9 เดือนของปี 51 จะพบว่าบริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 202.47 ล้านบาท จาก 56.69 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปี 50

"Q3 มาเจอเรื่อง Inventory ทำให้ตัวเลขออกมาไม่ดี แต่ถ้าภาพรวมเรายังกำไรตั้งเยอะ ส่วนแนวโน้ม Q4 คาดว่าจะใกล้เคียงกับ Q3 ยังไม่ฟื้น แต่ปีหน้าน่าจะดีขึ้น ดังนั้น ภาพรวมปีนี้น่าจะทำได้ 3.5 พันล้านบาทตามเป้า"นายสมชัย กล่าว

*ควัก 60 ลบ.ซื้อหุ้นคืนหลังราคาต่ำเกินไปไม่สะท้อนพื้นฐานบริษัทที่แท้จริง

นายสมชัย กล่าวถึงการซื้อหุ้นคืนว่า เนื่องจากคณะกรรมการเห็นว่าราคาหุ้นต่ำเกินไป บริษัทไม่มีขาดทุนเลย เพียงแต่บริษัทอาจจะมีการปรับตัวไปบ้างในช่วงที่สภาวะตลาดมีความผันผวน แต่โดยรวมเรายังมีความมั่นคง

"ผู้ลงทุนอาจจะมองสภาพบริษัทเราไม่ถูก เราก็ต้องมีเครื่องมือบางอย่างให้ผู้ลงทุนรู้ว่าบริษัทยังดีอยู่นะ สภาพแวดล้อมทางการค้า Commodity ทุกตัวลงหมด แต่ก็เป็นเรื่องการปรับตัวตามสภาพแวดล้อม แต่สถานะของบริษัทยังดีอยู่ เราไม่ได้ขาดทุนถาวรหรือขาดทุนจากการดำเนินกิจการ"นายสมชัย กล่าว

นายสมชัย กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน(D/E) 0.5-0.6 เท่า ลดลงจาก 0.8 เท่าในปี 50 และปี 52 จะพยายามรักษาระดับ D/E ให้อยู่ในระดับ 0.5-0.9 เท่า


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ