(เพิ่มเติม) PDI คาดปี 52 กำไรสุทธิใกล้เคียงปีก่อนที่มีกำไร 265 ลบ.หลังควบคุมต้นทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday April 23, 2009 18:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ผาแดงอินดัสทรี(PDI)คาดว่าจะสามารถรักษากำไรสุทธิในปีนี้ให้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีกำไร 265 ล้านบาทได้ แม้ในด้านรายได้น่าจะลดลงจากปีก่อนตามทิศทางราคาสังกะสีโลก โดยบริษัทจะพยายามควบคุมต้นทุนให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยอมรับว่าขณะนี้ยังประเมินได้ยากว่าราคาสังกะสีเฉลี่ยในปีนี้จะเป็นเท่าใด เพราะยังมีความผันผวนอยู่ แม้จะปรับขึ้นมาในช่วงนี้แต่ก็มองว่าเป็นสถานการณ์ในระยะสั้นเท่านั้น

ทั้งนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสในการลงทุนเข้าซื้อธุรกิจเหมืองในประเทศลาว พม่า และ เวียดนาม ซึ่งอาจจะได้เห็นในปีนี้

นายอังเดร์ วัน แดร์ เอเดน กรรมการผู้จัดการ PDI กล่าวว่า สาเหตุที่รายได้ในปี 52 ลดลงต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีรายได้ 8.18 พันล้านบาท เป็นเพราะราคาโลหะสังกะสีโลกต่ำกว่าปีที่แล้วที่มีราคาเฉลี่ย ที่ 1,845 เหรียญ/ตัน ประกอบกับค่าเงินบาทยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ ทำให้รายได้ที่แปลงเป็นเงินบาทลดลงด้วย

ในปี 51 ราคาขายสังกะสีทอนเป็นเงินบาทอยู่ที่ระดับ 62,000 บาท/ตัน ลดลงมากจากปี 50 อยู่ที่ 120,000 บาท/ตัน เป็นผลจากทั้งราคาสังกะสีที่ลดลงและเงินบาทแข็งค่าขึ้น

อย่างไรก็ดี ยอมรับว่าปีนี้คงไม่สามารถคาดการณ์ราคาโลหะสังกะสีโลกได้ เพราะราคายังมีความผันผวน โดยในช่วงต้นปี 52 ราคาสังกะสีอยู่ที่ 1,200 เหรียญ/ตัน แต่เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 1,400-1,500 เหรียญ/ตัน จากความต้องการตลาดจีนเพิ่มขึ้น ซึ่งมองว่าราคาน่าจะปรับขึ้นมาในระยะสั้น แต่ก็เห็นว่าราคาขณะนี้ไม่สมเหตุสมผล เพราะดีมานด์กับซัพพลายใกล้เคียงกัน

"เราไม่มีอิทธิพลตลาดโลหะสังกะสีในตลาดโลก แต่เราจะมีมาร์จิ้นที่ดีขึ้น แต่ยอดขายเราลดลงแน่นอน เราจะควบคุมต้นทุนวัตถุดิบ เราพยายามแหล่งแร่ราคาต่ำ"นายดังเดร่ กล่าว

ในด้านปริมาณการขายนั้น ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีปริมาณขายใกล้เคียงกับปีก่อนตามที่ผลิตได้ ประมาณ 1 แสนตัน โดยปีนี้จะเพิ่มการส่งออกมากขึ้นจากปีก่อนที่ส่งออกจำนวน 19,350 ตัน โดยจะส่งออกในแถบประเทศอาเซียน เนื่องจากความต้องการในประเทศลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

ทั้งนี้ ต้นทนวัตถุดิบหรือสินแร่เป็นต้นทุนหลัก 51% บริษัทพยายามหาแหล่งวัตถุดิบที่ถูก เช่น จากเปรู หรือมาจากการรีไซเคิล โดยบริษัทมีเป้าหมายที่จะใช้แหล่งแร่ในประเทศสัดส่วน 50% และจากต่างประเทศ 50% ซึ่งแบ่งเป็นจากเหมืองในต่างประเทศและจากการรีไซเคิล สัดส่วนแหล่งละ 25% โดยเหมืองแม่สอดยังมีสต็อกอีก 8 ปี

นายอังเดร์ กล่าวว่า บริษัทมองหาซื้อเหมืองใหม่เพิ่มขึ้น ในประเทศลาว เวียดนาม และ พม่า ซึ่งมีความเป็นไปได้อาจจะเห็นการเช้าซื้อในปีนี้ แต่บริษัทยังไม่มีความจำเป็นต้องออกหุ้นกู้ในปีนี้

ส่วนบริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด ผลิตเอทานอล คาดว่าในปีหน้าจึงจะสร้างรายได้ให้กับบริษัท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ