LST เชื่อกำไรสุทธิสูสีปีก่อน แม้รายได้จะตก 15%ตามราคา-ปริมาณลดลง

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday May 26, 2009 14:46 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ล่ำสูง(ประเทศไทย) (LST)คาดว่าในปี 52 รายได้รวมของบริษัทจะลดลงประมาณ 12-15% จากรายได้รวมในปีก่อนอยู่ที่ 9.6 พันล้านบาท สาเหตุหลักมาจากราคาขายจะลดลงตามตลาดโลก โดยคาดว่าปีนี้ราคาขายเฉลี่ยที่ 25 บาท/กก.ลดลงจากปีก่อนที่ขายได้เฉลี่ยน 30 บาท/กก.โดยก่อนหน้านี้บริษัทประเมินไว้ที่ กก.ละ 20 บาท และปริมาณการขายเติบโตลดลงเหลือแค่ 5% จากความต้องการที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะลูกค้าภัตตาคาร โรงแรมที่รับผลกระทบจากการท่องเที่ยวซบเซา

แต่มั่นใจว่ากำไรสุทธิในปี 52 จะไม่ลดลงในอัตราส่วนเดียวกันรายได้ เพราะบริษัทสามารถทำกำไรขั้นต้นได้ดี โดยเฉพาะในไตรมาส 1/52 ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นมาที่ 15% สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ในระดับ 8% และหากบริษัทสามารถรักษามาร์จิ้นระดับนี้ไว้ได้ก็เชื่อว่าจะทำกำไรได้ใกล้เคียงปีก่อนที่ 354 ล้านบาท

"ผลกำไรปีนี้คงลดลงจากปีก่อน แต่จะลงไม่มากเท่ารายได้ และกำไรอาจจะเท่ากับปีก่อนก็ได้ แต่ถ้าสามารถ maintain ระดับมาร์จิ้น 15% ไว้ได้...มาร์จิ้นเราดีขึ้น เพราะลูกค้าอุตสาหกรรมกล้าซื้อทุกราคา เพราะปีนี้น้ำมันปาล์มออกมาน้อยช่วยดึงมาร์จิ้นสูงขึ้น"นายสมชัย จงสวัสดิ์ชัย กรรมการผู้จัดการ LST ให้สัมภาษณ์กับ"อินโฟเควสท์"

ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าปริมาณขายในปีนี้เติบโตไม่เกิน 5% จากปีก่อนที่มีปริมาณขายที่ 1.84 แสนตัน/ปี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี ที่ความต้องการชะลอตัวมาก โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมาปริมาณขายเติบโตเกิน 10% สาเหตุหลักมาจากลูกค้าในส่วนภัตตาคาร และโรงแรม ลดการใช้จากธุรกิจท่องเที่ยวได้รับผลกระทบมาก อย่างไรก็ตาม ตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะจีนและอินเดียยังมีความต้องการ และการนำปาล์มเป็นพืชทดแทนพลังงานทำไบโอดีเซล ก็ยังทำให้ราคาปาล์มไม่ตกต่ำมาก

ปัจจุบัน ลูกค้าของบริษัท แบ่งเป็นลูกค้าอุตสาหกรรม สัดส่วน 55% ซึ่ง LST มีส่วนแบ่งตลาดอันดับต้นๆ และลูกค้าขายปลีก บรรจุขวด(ตราหยก)สัดส่วน 45% ขณะนี้มีส่วนแบ่งการตลาดราว 15% เป็นอันดับที่ 2 รองจากน้ำมันพืช"มรกต"

นายสมชัย กล่าวว่า กลุ่มผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมันปาล์มได้ยื่นขอปรับราคาน้ำมันบรรจุขวดขนาด 1 ลิตรกับกระทรวงพาณิชย์แล้ว โดยขอปรับขึ้นจากขวดละ 38 บาท เป็นขวดละ 45 บาท เพราะราคาปาล์มขณะนี้ได้ปรับตัวจากต้นปีที่อยู่ระดับ 18 บาท/กก.มาที่ 28-29 บาท/กก.ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบของบริษัทปรับตัวสูงขึ้น และราคาปัจจุบันได้ชนเพดานแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคำตอบจากทางการ

ขณะที่ราคาน้ำมันพืชที่ขายให้กับลูกค้าอุตสาหกรรม บริษัทได้ปรับขึ้นไปประมาณ 10-12 ครั้งแล้ว จากราคาน้ำมันปาล์มตลาดโลกที่ผันผวน อย่างไรก็ดี ผลผลิตส่วนใหญ่ในปีนี้คาดว่าจะขายในประเทศไม่ต่ำกว่า 95% จากปีก่อนมีสัดส่วน 90% เพราะบางส่วนยังมีความต้องการที่จะนำไปใช้ในธุรกิจไบโอดีเซล

นอกจากนี้ บริษัทคาดว่าในผลประกอบการในไตรมาส 2/52 จะดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/52 ที่มีรายได้ 1.7 พันล้านบาท และ 121 ล้านบาท เนื่องจากช่วงไตรมาส 2/52 จะมีปริมาณผลผลิตปาล์มออกมามาก ทำให้ปริมาณขายเพิ่มขึ้น โดยปกติช่วงไฮซีซั่นจะมีผลผลิตปาล์มออกมาประมาณ 1.7-1.8 แสนตัน/ตัน ส่วนช่วงโลว์ซีซั่น(ก.ค.-ก.ย.)ผลผลิตจะมีราว 8-9 หมื่นตัน/เดือน

*ขยายกำลังผลิต คาดปีหน้าโตก้าวกระโดด

นายสมชัย กล่าววว่า บริษัทได้ลงทุนขยายกำลังการผลิตการกลั่นอีก 300 ตัน/วัน จากปัจจุบันผลิตเต็มที่ 700 ตัน/วัน หรือ 2.55 แสนตัน/ปี ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มเป็น 1,000 ตัน/วัน หรือ 3.65 แสนตัน/ปี และจะเริ่มผลิตได้เชิงพาณิชย์ในเดือน ต.ค.นี้ โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุน 220 ล้านบาท ขณะนี้ใช้ไปบางส่วน เหลือที่ต้องลงทุนปีนี้อีก 150 ล้านบาท ซึ่งจะนำเงินจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทและเงินกู้จากธนาคาร

ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.1.05 เท่า ณ สิ้นปี 51

"ธุรกิจเราโตมาตลอด เพราะเราเลือกทำธุรกิจอาหาร ถ้าปีหน้าสถานกาณณ์ทั่วโลกฟื้นตัวทั้งอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ผมก็ว่ายอดขายเราจะโตได้อีก ปีนี้ทุกคนจะมองว่าไม่ดี แต่เราก็ยังมองว่าโต และถ้าปีหน้าฟื้นตัวก็จะโตก้าวกระโดด"นายสมชัย กล่าว

นอกจากนี้ บริษัทได้เพิ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันบรรจุระดับพรีเมียมเมื่อปีก่อน ได้แก่ น้ำมันสกัดจากชา น้ำมันคาโนล่าผสมเมล็ดดอกทานตะวัน โดยใช้ชื่อทางการค้า"Naturel"เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคเพิ่มแต่ไม่ได้คาดหวังว่าจะมีรายได้มาก

โครงสร้างรายได้ของ LST ส่วนใหญ่มาจากการขายน้ำมันพืชของบริษัท 80% และรายได้จากบริษัทย่อย ได้แก่ บมจ.สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม(UPOIC)ที่บริษัทถือหุ้นอยู่ 69.96% มีสัดส่วนราว 10% และบมจ.อาหารสากล(UFC)ซึ่งบริษัทถือหุ้น 96.79% มีสัดส่วนรายได้ราว 10% เช่นกัน

ปีนี้ UPOIC คาดว่าจะมีรายได้น้อยกว่าปีก่อนที่มี 1.3 พันล้านบาท จากราคาปาล์มทั้งในประเทศและตลาดโลก ปรับตัวลดลง ส่วน UFC ซึ่งผลิตผักและผลไม้กระป๋อง คาดว่ารายได้น่าจะเกิน 1 พันล้านบาท จากปีก่อน 900 ล้านบาท โดยตลาดส่งออกขณะนี้เริ่มฟื้นตัว มีออเดอร์เข้ามา หลังจากไตรมาสแรกที่ผ่านมาตลาดหดตัว ทั้งนี้ ตลาดส่งออกและในประเทศมีสัดส่วน 50/50

นอกจากนี้ บริษัทได้ดำเนินการหารายได้แหล่งอื่น คือ ทำโรงไฟฟ้าไบโอแก๊ส ขนาด 1 มกะวัตต์/ปี ที่ใช้พลังงานจากก๊าซมีเทนในบ่อบำบัดน้ำเสียของโรงงาน ผลิตไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)ในจ.ตรัง คาดว่าจะมีรายได้ปีละประมาณ 15 ล้านบาท โครงการนี้จะเริ่มทำรายได้ในเดือนส.ค.52

รวมทั้งบริษัทคาดว่าจะได้รับรายได้ประมาณกว่า 10 ล้านบาท/ปีจากการขายคาร์บอนเครดิต ซึ่งทางสหประชาชาติจะมาตรวจสอบโรงงานหลังจากได้ยื่นเอกสารไปให้แล้ว

ปัจจุบัน บริษัทรับวัตถุดิบจากโรงสกัดของบริษัท 2 แห่ง รวม UPOIC ด้วย มีสัดส่วน 30% ของปริมาณการผลิต ส่วนที่เหลือ 70% รับจากโรงสกัดน้ำมันปาล์มดิบอื่น บริษัทมีโรงกลั่นน้ำมันปาล์มที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ กำลังการผลิต 2.55 แสนตัน/ปี หรือ 700 ตัน/วัน และมีโรงสกัด 2 แห่ง ที่จ.ตรัง และ กระบี่


แท็ก ล่ำสูง   (LST)  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ