โบรกฯเชียร์"ซื้อ"BGH แนวโน้ม 2H/52 ดี-ออกแผนกระตุ้นใช้บริการ-ต้นทุนลด

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday June 12, 2009 13:49 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          โบรกเกอร์               คำแนะนำ          ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น)
          สถาบันวิจัยนครหลวงไทย      "ซื้อ"                32.00
          บล.ธนชาต                "ซื้อ"                28.50
          บล.ทรีนิตี้                 "ซื้อ                 27.00
          บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)     "ซื้อ"                25.70
          บล.เคจีไอ (ประเทศไทย)    "ซื้อ"                24.00

นักวิเคราะห์ สถาบันวิจัยนครหลวงไทย กล่าวว่า แม้ตัวเลขผู้ป่วยต่างชาติที่เข้ารักษาตัวในเดือนเม.ย.52 จะยังลดลง yoy เพราะอยู่ในช่วงวันหยุดต่อเนื่องและผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมือง และการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสสายพันธ์ใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว แต่สถานการณ์การเมืองและการติดต่อของโรคที่เริ่มควบคุมได้บ้างแล้ว ทำให้เริ่มมีสัญญาณการเข้ารักษาตัวของผู้ป่วยต่างชาติที่ดีขึ้นในเดือน พ.ค.52 เมื่อเทียบ qoq

รวมทั้ง ทางโรงพยาบาลมีการทำโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการเข้ารักษาตัวของโรงพยาบาลในเครือ ทำให้ตัวเลขการเข้ารักษาตัวของผู้ป่วยในประเทศยังเติบโตสม่ำเสมอ โดยเฉพาะกลุ่ม OPD อีกทั้งการหาตลาดลูกค้าใหม่อย่างสม่ำเสมอ อาทิ กลุ่มผู้ป่วยจากออสเตรเลียที่คาดว่าจะเริ่มเข้ามารักษาตัวเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง คาดจะทำให้แนวโน้มตัวเลขผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศกลับมาขยายตัวโดดเด่น

แม้ธุรกิจโรงพยาบาลเป็นธุรกิจที่มีต้นทุนคงที่สูง แต่ยิ่งมีจำนวนผู้ป่วยเข้ารักษาตัวมากก็จะช่วยลดต้นทุนเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการเข้ารักษาตัวของผู้ป่วยในประเทศที่เพิ่มขึ้นจะก่อให้เกิดการประหยัดจากขนาดการดำเนินงาน อีกทั้ง BGH ยังวางนโยบายลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นจะช่วยหนุนให้ EBITDA Margin ปี 52 เติบโตจาก 21.6% ในปี 51 เป็น 21.66% และส่งผลต่อเนื่องให้กำไรสุทธิปี 52 เพิ่มขึ้นจาก 1,662 ล้านบาทใน 51 เป็น 1,888 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาจากปัจจัยการกระตุ้นการเข้ารักษาตัวของผู้ป่วยในประเทศผ่านการออกโปรโมชั่นต่างๆ ช่วยชดเชยการชะลอตัวลงของจำนวนผู้ป่วยต่างชาติ และทำให้ภาพของผลการดำเนินงานระยะสั้นยังทรงตัวได้ในระดับสูง, การประเมินสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ, จำนวนผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศคาดจะกลับมาเติบโตโดดเด่นอีกครั้งในครึ่งปีหลัง, การลดต้นทุนในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องช่วยผลักดันให้กำไรปี 52 ของ BGH ยังเติบโตอย่างมั่นคง

ด้านนักวิเคราะห์ บล.ธนชาต กล่าวว่า เนื่องจากนโยบายปรับลดต้นทุนที่ประสบผลสำเร็จของ BGH อัตรากำไรจากการดำเนินงานจึงขยายตัวขึ้นราว 4.4% q-q มาอยู่ที่ 11.4% ในช่วง 1Q09 อัตราการเติบโตของรายได้ผู้ป่วยลดลงมาอยู่ที่ -2% จากในช่วง 1Q08 ที่เติบโต 17% และ 9% ในช่วง 4Q08

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนโยบายปรับลดต้นทุนที่ประสบผลสำเร็จของ BGH อัตรากำไรจากการดำเนินงานจึงขยายตัวขึ้นราว 4.4% q-q มาอยู่ที่ 11.4% ในช่วง 1Q09 และเป็นปัจจัยหลักผลักดันการเติบโตของกำไรเมื่อเทียบ q-q ซึ่งกำไรในช่วง 1Q09 คิดเป็น 28% ของประมาณการกำไรทั้งปี แต่เรายังคงประมาณการกำไร BGH ที่คาดว่าจะหดตัวลง 2% สำหรับปีนี้ไว้เหมือนเดิม และเนื่องจาก BGH ซื้อขายในระดับที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับในอดีต จึงมองว่าราคาหุ้นน่าจะปรับลดลงได้อย่างจำกัด

แต่อย่างไรก็ตาม กำไรที่เติบโตช้านี้ น่าจะทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นได้อย่างจำกัดในปีนี้ ดังนั้น BGH จึงเหมาะสำหรับการลงทุนในระยะยาว

ขณะที่นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ นักวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า การแพร่ระบาดของไข้หวัด 2009 หรือ H1N1 อาจจะส่งผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ซึ่งคิดเป็น 35% ของรายได้ BGH เนื่องจากกลุ่มนี้จะเกิดความไม่มั่นใจในสถานการณ์ ชะลอ หรือ ระงับการเดินทางโดยเฉพาะอย่างยิ่งข่าวเรื่อง H1N1 แพร่ระบาดรุนแรงในทวีปเอเชีย ยิ่งสร้างความวิตกให้นักท่องเที่ยว ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบมาถึง BGH ในระยะนี้

อย่างไรก็ตาม บล.ทรีนีตี้ ยังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อหุ้น BGH ให้ราคาเป้าหมาย 27.00 บาท จากราคาปัจจุบัน 23.10 บาท มี Upside Gain ประมาณ 17% ความน่าสนใจของหุ้นตัวนี้ หลักๆ อยู่ที่ราคาหุ้นถูกกว่า BH(บำรุงราษฎร์)ค่อนข้างมากประมาณ 4 เท่า 1 เตียง เมื่อมองจาก EV/Bed BGH ซื้อขายในระดับ PER ที่ 16 เท่า และ EV/EBITDA ที่ 6 เท่า ซึ่งใกล้เคียงระดับเฉลี่ยของโรงพยาบาลในภูมิภาคที่ PER 16 เท่า และ EV/EBITDA ที่ 6-11 เท่า แต่ถูกกว่า BH มาก

เราพบว่านักลงทุนต้องจ่ายเงิน 51 และ 12 ล้านบาท สำหรับ 1 เตียงผู้ป่วย (Enterprise value per Bed — EV/Bed) ของ BH และ BGH ตามลำดับ หรือ BGH ถูกกว่า 4 เท่า ซึ่งเราเชื่อว่าส่วนลดดังกล่าวจูงใจต่อการลงทุน ในขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ตอบรับการฟื้นตัวในครึ่งปีหลังและผลดีจากการซื้อคืนหุ้นกู้แปลงสภาพ ทำให้เป็นโอกาสดีในการลงทุน

นอกจากนี้ เราเชื่อว่าธุรกิจจะฟื้นตัวชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส 3/52 เป็นต้นไปจากจำนวนวันหยุดที่น้อยลง แถมนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายเริ่มเห็นผล ประกอบกับฐานการดำเนินงานไตรมาส 3/51 อยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งเชื่อว่าเมื่อถึงไตรมาส 4/52 ซึ่งเราคาดว่าเศรษฐกิจโลกน่าจะผ่านจุดต่ำสุด ทำให้ผู้ป่วยกล้าใช้จ่ายเพื่อการรักษาพยาบาลมากขึ้น และผลดีจากการเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวจะช่วยเพิ่มสัดส่วนของคนไข้ต่างชาติและอัตรากำไรขั้นต้น น่าจะทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/52 โดดเด่น

สำหรับการซื้อคืนหุ้นกู้แปลงสภาพในช่วง ก.ค.52 ทำให้มีภาระรีไฟแนนซ์เป็นแค่ประเด็นรบกวนระยะสั้น แต่ระยะยาวจะได้รับผลดีจาก Dilution effect ที่จะลดลง ราคาหุ้น BGH ปรับตัวขึ้น 16% YTD

ขณะที่นางสาวรัศดา ทวีแสงสกุลไทย นักวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ประเมินว่า ไตรมาส 1/52 มีกำไรดีกว่าที่คาด เพราะมีผู้ป่วยต่างชาติที่เลื่อนการรักษาจากช่วงปิดสนามบินเมื่อปลายปี 51 มาใช้บริการช่วงต้นปี

ส่วนไตรมาส 2/52 คาดว่าจะได้รับผลกระทบมากกับรายได้เพราะเป็นช่วง Low Season อีกทั้งยังมีการประกาศ พรก. ฉุกเฉินในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีผลทำให้รายได้ลดลง แต่คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังรายได้จะเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยคาดว่าในไตรมาส 3/52 และไตรมาส 4/52 รายได้จะดีกว่าในไตรมาส 2/52 ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัจจัยลบหลายประการ

แต่ในปี 53 คาดว่า BGH จะสามารถปรับตัวดีขึ้นได้จากการกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติ หลังจากที่ปัญหาทางการเมืองคลี่คลาย และคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มขึ้นเป็น 33.35% กำไรสุทธิจะเพิ่มเป็น 1,769.88 ล้านบาท

ด้านนางสาวระวีนุช ปิยะเกรียงไกร นักวิเคราะห์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) กล่าวว่า การออกหุ้นกู้ A-Rating มูลค่า 3 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นหุ้นกู้อายุ 5 ปี จำนวน 2 พันล้านบาทที่อัตราดอกเบี้ย 4.80% และหุ้นกู้อายุ 7 ปี 1.0 พันล้านบาทที่อัตราดอกเบี้ย 5.35% เพื่อรองรับการขายคืนหุ้นกู้แปลงสภาพ (Convertible bond: CB) ในเดือน มิ.ย.2552 การดำเนินการดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อ BGH ในแง่ที่บริษัทฯ จะสามารถลดต้นทุนทางการเงินได้ 0.20 ppts เนื่องจากต้นทุนทางการเงินของ CB อยู่ที่ 6.25% (รวมข้อกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน 38.16 บาท ต่อ 1 $US และราคาขายคืนพรีเมี่ยมแล้ว)

แม้ว่าต้นทุนทางการเงินจะลดลงอย่างไม่มีนัยสำคัญ แต่เรามีมุมมองที่เป็นบวกต่อการขายคืน CB เพราะจะทำให้ Dilution effect จากการแปลง CB เป็นหุ้นสามัญลดลงในอนาคต โดย CB ที่เหลืออยู่จำนวน 56 ล้านเหรียญสหรัฐ สามารถแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญได้ 58.9 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น Dilution Effect ที่ 5.0%

ทั้งนี้ ราคาหุ้น BGH ปรับตัวต่ำกว่า SET อยู่ 6.8% นับตั้งแต่เดือน เม.ย.เป็นการสะท้อนถึงผลประกอบการไตรมาส 2/52 ที่จะอ่อนแอ จากปัจจัยด้านฤดูกาลและแนวโน้มที่เป็นลบในภาพลักษณ์ของประเทศจากปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง

อย่างไรก็ดี เราคาดว่าการดำเนินงานรวมถึงผลประกอบการของ BGH จะดีขึ้นในครึ่งหลังของปี 52 จากระดับความมั่นใจของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในขณะที่การเมืองเริ่มนิ่งรวมถึงกลุ่มการบริการการแพทย์จะเข้าสู่ช่วง high season ด้วย


แท็ก เคจีไอ  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ