น.ส.เพ็ญศรี สุธีรศานต์ ผู้อำนวยการ สมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย เปิดเผยผลสำรวจ CEO Survey: “Economic Outlook ครึ่งปีหลัง 2552"ว่า ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ 69% มองว่าเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัว แต่ยังไม่มั่นใจว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องไปถึงปี 53 ขณะที่ผู้บริหาร 11% มองว่าเศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างชัดเจนและจะต่อเนื่องไปถึงปี 53
จากการสำรวจความเห็นจากจำนวน 120 บริษัท คิดเป็น 64% ของ Market Cap. ทั้งหมดของตลาด
ในด้านการคาดการณ์แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจทั้งปี ผลสำรวจใกล้เคียงกันระหว่างเห็นว่า GDP Growth อยู่ในช่วงติดลบ 2-4% และคาดการณ์ว่าปี 53 จะฟื้นตัวมีสัดส่วน 55% ขณะที่อีกครึงหนึ่งเห็นว่า GDP Growth อยู่ในช่วง 0-2%
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก เสถียรภาพทางการเมือง และ นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล และพบว่าปัจจัยความมีเสถียรภาพทางการเมือง เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการดำเนินธุรกิจใน 6 เดือนข้างหน้าเพิ่มขึ้น รองลงมา คือ ราคาน้ำมัน
นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารโลก เปิดเผยในการสำรวจ“Thai Economic Recovery Underway" ว่า ในปี 52 ตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทยจะกลับมาในเป็นบวกในไตรมาส 4/52 แต่ทั้งปีเศรษฐกิจยังคงติดลบ โดยเริ่มส่งสัญญาณว่าค่อยๆเริ่มฟื้นตัวในลักษณะ U shape ไม่ใช่ V shape ดังนั้น ไทยต้องเตรียมความพร้อมในประเทศให้เทียบเคียงกับเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน โดยเน้นไปที่การพร้อมรับมือกับปัญหาเงินเฟ้อและการตัวปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
“หลังจากไตรมาส 1-2/52 ปีนี้เศรษฐกิจหดตัวอย่างหนัก แต่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวและเชื่อว่าไตรมาส 4/52 จะกลับมาเป็นบวก เริ่มเห็นตรงกัน แต่ไม่เชื่อว่าจะมีการฟื้นตัวแบบก้าวกระโดด ธนาคารโลกยังมองว่าปีนี้เศรษฐกิจโลกติดลบ 2.9% ปี 53 จะกลับมาบวกที่ 2% คือเริ่มฟื้นตัว แต่จะไปฟื้นตัวที่แท้จริงในปี 54"นางสาวกิริฎา กล่าว
อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลก ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้นจะเริ่มมีการไหลของมีเม็ดเงินเพื่อแสวงหาผลตอบแทนการลงทุน โดยคาดว่าเม็ดเงินส่วนใหญ่จะเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะใน จีนและอินเดีย รวมทั้งกระจายไปยังประเทศอื่นด้วย ทำให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชียแข็งค่าขึ้นจากเงินทุนไหลเข้า ขณะที่ในประเทศต้องเร่งการลงทุนของของภาคเอกชนเพิ่มผลผลิตต่อหน่วยให้มากกว่าเดิมเพื่อสร้างอำนาจในการแข่งขันในตลาดโลก
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้บริหารส่วนกลยุทธ์นโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กล่าวว่า สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเริ่มชัดเจนขึ้นและความเชื่อมั่นของผู้บริหารเพิ่มมากขึ้น โดยกว่า 60% มีแผนเพิ่มการลงทุนและเพิ่มการจ้างงาน เนื่องจากเริ่มมีคำสั่งซื้อเข้ามามากขึ้น และมั่นใจว่า 6 เดือนข้างหน้า ภาคการส่งออกจะดีขึ้นในทุกอุตสาหกรรม
แต่มีปัจจัยที่ต้องกังวลคือ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มมากขึ้นจากวัตถุดิบที่ราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทจดทะเบียน 97% เห็นว่า 6 เดือนข้างหน้าราคาวัตถุดิบจะเพิ่มสูงขึ้นจากปัจจุบัน แต่เชื่อว่าราคาขายผลิตภัณฑ์ก็จะปรับเพิ่มขื้นด้วยถึง 35% ซึ่งจะส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อ แต่เชื่อว่าธนาคารกลางยังให้ความสำคัญกับปัจจัยดังกล่าว
นอกจากนี้ กังวลเสถียรภาพของรัฐบาลที่ปรับตัวลดลงแต่เชื่อว่าภาครัฐบาลจะรวมตัวกันต่อไปเพื่อยืดอายุรัฐบาลให้ยาวนานขึ้น และเร่งให้ภาครัฐบาลลงทุนในโครงการเมกกะโปรเจ็คต์ เพราะจะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแท้จริง รวมทั้งผลักดันให้เกิดการลงทุนละการบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย
นายยรรยง ไทยเจริญ สถาบันวิจัยเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า แม้จะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ก็คงไม่สามารถไว้วางใจเนื่องจากการฟื้นตัวยังไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภาค โดยเฉพาะภาคการผลิตที่ผลผลิตของอุตสาหกรรมส่งออกฟื้นตัวเร็วกว่าการผลิตขายในประเทศ อย่างกลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ราคาและผลผลิตภาคการเกษตรยังติดลบค่อนข้างมาก ซึ่งอาจจะสะท้อนการใช้จ่ายรากหญ้า
ทั้งนี้ หากพิจารณาการลงทุนยังเห็นว่าการฟื้นตัวยังไม่ชัดเจน และเป็นลักษณะแบบกระจุกตัว เห็นได้จากไตรมาส 2/52 การลงทุนในกลุ่มพลังงานและก่อสร้างเป็นบวก แต่ที่เหลือยังติดลบ เพราะการฟื้นตัวมีข้อจำกัด ตราบใดที่เศรษฐกิจโลกยังฟื้นตัวแบบช้าๆ สหรัฐไม่สามารถกลับมาเป็นผู้นำอำนาจทางเศรษฐกิจได้ แม้จะหวังพึ่งเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวดีขึ้น แต่ไม่สามารถช่วยทดแทนสหรัฐได้ทั้งหมด ดังนั้น ไทยต้องหันมาทำอุปสงค์ในประเทศให้เข้มแข็ง และอยากให้รัฐบาลเดินหน้าเมกะโปรเจ็คต์ รวมถึงแก้ปัญหาการเมือง เพื่อตอบโจทย์การลงทุน ทำให้เอกชนวางแผนถูกต้อง เพราะหลายอตุสาหกรรมยังรอความชัดเจนจากนโยบายของรัฐบาลที่จะมีอานิสงส์โดยตรง
"ผมว่าตอนนี้ประเทศไทยเริ่มมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้นแม้พี/อีจะต่ำแต่ในแง่ของผลกำไรปรับตัวดีขึ้น ซึ่งก็มีหลายคนที่ประเมินกันว่าใน 3-4 เดือนข้างหน้าส่วนใหญ่มองว่าดีกว่าที่ผ่านมากันทั้งนั้น ภาพรวมดีขึ้นทุกด้านแต่ก็ไม่อยากที่จะให้ประมาทเพราะการฟื้นตัวไม่ได้ทุกกลุ่ม แต่อย่างไรก็ตามการดูแลของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้นโดยเฉพาะดูแลต้นทุนได้ดี สภาพคล่องก็มีเสถียรภาพ แม้ยอดขายของบริษัทจะลดลง" นายยรรยงกล่าวนายยรรยง กล่าวต่อว่า ตลท.ได้มีการผลักดันแผนพัฒนาตลาดทุนให้ภาคธุรกิจเข้าถึงแหล่งเงินได้ง่ายขึ้น ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง นอกจากนี้ยังมองว่าขณะนี้ สภาพคล่องของภาคเอกชนยังเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเอื้อต่อความสามารถในการชำระดอกเบี้ย
ด้านนายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย)(KEST) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยมีทิศทางดีขึ้นแล้วซึ่งเห็นได้จากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ที่ติดลบลดลง และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศออกมาก็ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ขณะที่ประเด็นการเมืองก็ลดความรุนแรงลงเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้สามารถจัดการโดยไม่ใช้อารมณ์และสามารถแบ่งแยกได้
จากแนวโน้มเศรษฐกิจฟื้นตัวและส่งผลต่อเนื่องต่อตลาดหุ้นไทยที่ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นมาเฉลี่ยที่ 2 หมื่นล้านบาท/วันจาก 8.5 พันล้านบาท/วันจากภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าเข้ามาขอวงเงินมาร์จิ้นโลนมากขึ้นโดยปัจจุบันบริษัทยังสามารถปล่อยวงเงินได้ประมาณ 1.7 พันล้านบาทจากก่อนหน้าที่ได้ปล่อยวงเงินให้กับลูกค้าแล้วจำนวน 2.3 พันล้านบาท ขณะที่ทุนจดทะเบียนของบริษัทอยู่ที่ 4 พันล้านบาท