บล.ภัทร (PHATRA) ยอมรับว่าส่วนการตลาด(มาร์เก็ตแชร์)ในปีนี้มีแนวโน้มน่าจะต่ำกว่าปีก่อน และอาจลดลงจากในปัจจุบันที่มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ในระดับ 4.3% จากผลกระทบ POP trade ขณะที่พอร์ตการลงทุนของบริษัทที่มีทั้งการลงทุนระยะสั้นและระยะยาวนั้น บริษัทคาดหวังว่าจะสร้างผลกำไรได้ราว 25%
บริษัทยังเตรียมออกสินค้าใหม่ คือ ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์(DW)ภายในปีนี้ ภายใต้วงเงินที่ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นไว้ที่ 300 ล้านบาท โดยจะเป็น DW อ้างอิง SET50 ส่วนปี 53 บริษัทมีแผนนำลูกค้า 3-4 รายที่มอบหมายให้บริษัทเป็นที่ปรึกษาทางการเงินนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
นายสุวิทย์ มาไพศาลสิน ประธานคณะกรรมการการลงทุนของ PHATRA เปิดเผยว่า ปัจจุบันส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจหลักทรัพย์(มาร์เก็ตแชร์)ของบริษัทฯมีอยู่ประมาณ 4.3% ลดลงจากปีที่แล้ว(2551)ที่มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 5.9% ซึ่งมองว่ามาร์เก็ตแชร์โดยรวมของบริษัทฯมีแนวโน้มที่จะลดลงจากปัจจุบัน เนื่องจากขณะนี้มีสัดส่วนการเทรดของโบรกเกอร์ในลักษณะ POP Trade กันมาก โดยรวมปัจจุบันมีการเทรดในลักษณะ POP Trade โดยรวมมีอยู่ 13-14%
ส่วนพอร์ตลงทุนของบริษัทฯ แบ่งเป็นพอร์ตลงทุนระยะยาวมีวงเงินอยู่ 2,000 ล้านบาท แต่ขณะนี้ใช้ไปกว่า 1,000 ล้านบาท และพอร์ตลงทุนระยะสั้น(เทรดดิ้ง)จะมีวงเงิน 900 ล้านบาท ขณะนี้ก็ใช้อยู่ 300 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯก็มีความคาดหวังว่าจะมีกำไรจากพอร์ตลงทุนประมาณ 25%
"ปีนี้บริษัทฯคาดว่าจะมีกำไรจากพอร์ตการลงทุนมากกว่า 200 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกทำกำไรได้แล้ว 210 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนในตลาดหุ้นตอนนี้ก็ให้ผลตอบแทนที่ดีมาก"นายสุวิทย์ กล่าวนายสุวิทย์ กล่าวอีกว่า ส่วนการออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) ขณะนี้อยู่ในขั้นของการรอคอยจังหวะและเวลาที่เหมาะสม ซึ่งก็ยังมีความตั้งใจไว้ว่าน่าจะออกได้ภายในปีนี้(2552) โดยมีวงเงินที่ได้รับการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นสำหรับการออก DW นี้ อยู่ที่ 300 ล้านบาท โดยบริษัทฯจะทยอยออก ซึ่งจะอ้างอิงหุ้นในกลุ่ม SET50
สำหรับการเปิดใช้ค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันไดในปีหน้า(2553) นั้น นายสุวิทย์ กล่าวว่า ทางบริษัทฯได้มีการเตรียมความพร้อมตรงนี้อยู่แล้ว ซึ่งก็ยอมรับว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อบริษัทฯอยู่เหมือนกัน แต่จะเท่าไรยังไม่สามารถประเมินได้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯได้รับค่าคอมมิชชั่นจากลูกค้าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.17% ก็ยังต่ำกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันไดที่ได้กำหนดไว้ที่ 0.18%
ปัจจุบันบริษัทฯได้รับค่าคอมมิชชั่นจาก"เมอร์ริลลินซ์"อยู่ 0.15% แต่ค่าคอมมิชชั่นที่คิดจากลูกค้ารายบุคคลทั่วไปอยู่ที่ 0.25% ซึ่งในส่วนของลูกค้าต่างประเทศปัจจุบันก็มีได้มีการต่อรองค่าคอมมิชชั่นกับทางบริษัทฯอยู่แล้ว และทางเขาก็ยินดีที่จะจ่ายค่าคอมมิชชั่นเพื่อแลกกับงานวิจัยดี ๆ
ทั้งนี้ ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้ารายสถาบันจากนอกประเทศมีอยู่ในสัดส่วน 50% และลูกค้าในประเทศมีสัดส่วนอยู่ 20% ส่วนที่เหลือลูกค้ารายบุคคลในประเทศมีสัดส่วน 30%
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PHATRA เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯมีลูกค้า IPO อยู่ประมาณ 3-4 ราย ซึ่งคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปีหน้า(2553)
"ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ ธุรกิจการลงทุนมีน้อย ซึ่งลูกค้าขนาดใหญ่ก็มีการชะลอการลงทุนออกไป ดังนั้นบริษัทฯก็ได้มีการปรับตัวไปล่วงหน้าแล้ว โดยหันไปเน้นทำดีลเกี่ยวกับ M&A มากขึ้น และเราก็สามารถสร้างรายได้แบบพอเลี้ยงตัวเองได้ ซึ่งเงินที่ได้รับจากค่าธรรมเนียมตรงนี้มันก็ไม่ได้น้อย แต่ถ้าจะทำให้รายได้เข้ามาก ก็คงจะต้องไปพึ่งการระดมทุน ปัจจุบันตลาดฯก็เริ่มมี valuation ที่จะกระตุ้นให้คนอยากจะลงทุนอยู่เหมือนกัน"นายอภินันท์ กล่าวนายอภินันท์ กล่าวภายหลังจากรับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ PHATRA ว่า "ทิศทางการดำเนินธุรกิจของ PHATRA ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากมาตรฐาน การทำงานก็ยังเป็นไปตามมาตรฐานสากลโลก และไม่ลืมการทำงานแบบคนไทยในเรื่องของเนื้อหา การให้ข้อมูล ส่วนเรื่องการเปิดเสรีฯ ทางบริษัทฯก็ได้มีการเตรียมตัวมานานแล้ว ซึ่งขณะนี้บริษัทฯยอมรับว่ามีความพร้อมมากกว่าคนอื่น"