โบรกเกอร์แนะนำ “ซื้อ" หุ้น บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(MINT) หลังกลุ่มท่องเที่ยวและสันทนาการกลับมาโดดเด่นตามเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว ส่งผลให้อัตราการเข้าพักของโรงแรมในเครือสูงต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 52 หลังจากผ่านพ้นจุดต่ำสุดในช่วงไตรมาส 3/52 และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้
ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น โครงการเรสซิเดนท์หรู ST.regis จะมีเริ่มมีรายได้เข้ามาในไตรมาส 4/53 ส่งผลงบปีนี้ออกมาสวย ส่วนธุรกิจอาหารมีการขยายสาขาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) บล. ดีบีเอส วิคเคอร์ส ซื้อ 15.60 สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ซื้อ 16.30 บล.ไอร่า ซื้อ 12.90 บล.เอเชีย พลัส ซื้อ 13.15นางสาวนลิน วิริยะเสถียร นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)แนะ"ซื้อ"หุ้น MINT เนื่องจากประมาณการว่ากำไรสุทธิปี 53 จะเติบโตก้าวกระโดด มาอยู่ที่ 2,012 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 1,265 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยหลักมาจากธุรกิจโรงแรมที่ฟื้นตัว อัตราการเข้าพักตั้งแต่ ต.ค.52 สูงขึ้นเป็น 60 % จากจุดต่ำสุดที่ระดับ 40% ในไตรมาส 3/52
และรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ & ธุรกิจ Retail เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงการ ST.Regis และโครงการสมุยวิลล่า โดยคาดว่า ST.Regis คาดว่าจะมียอดขายในปีนี้ 8 ยูนิต จากปีก่อนขายได้ 3 ยูนิต ราคาต่อหน่วยประมาณ 60 ล้านบาท ส่วนโครงการสมุยวิลล่าคาดว่าจะขายได้ 2-3 ยูนิต จากปีก่อนที่ไม่สามารถขายได้เลย
รวมทั้ง ปีนี้จะรับรู้รายได้จาก ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น เต็มปีอีกด้วย ปัจจัยหนุน คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก แต่ยังมีความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศ และโรคระบาดที่อาจเกิดขึ้นได้
ส่วนธุรกิจอาหารยังคงแข็งแกร่ง โดยบริษัทมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มปีละ 100-120 แห่ง และเพิ่มยอดขายในสาขาเดิม (Same store sales)ด้วยการปรับปรุงเมนูอาหารอย่างต่อเนื่อง และเน้นเรื่องการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น จะมีการปิดบางสาขาที่ไม่ทำกำไรในปี 53 ด้วย
บทวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยนครหลวงไทย มองว่า อัตราการเข้าพักโรงแรมในเครือ MINT จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในไตรมาส 4/52 หลังจากผ่านจุดต่ำที่สุดในไตรมาส 2/52 โดยธุรกิจโรงแรมมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเริ่มเห็นทิศทางตั้งแต่ปลายไตรมาส 3/52 ที่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มเป็น 50—55% จากไตรมาส 2/52 ที่อยู่ในระดับ 40—45% และในไตรมาส 4/52 คาดว่าดีขึ้นมาเป็น 60—65% ดังนั้น รายได้ในปีนี้ของบริษัทน่าจะเติบโต 8% ตามเป้าหมาย
ส่วนธุรกิจรับบริหารงานโรงแรมในสัปดาห์นี้บริษัทเตรียมที่จะเข้าบริหารงานโรงแรมที่อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพิ่มอีก 1 แห่ง จากปัจจุบันที่บริษัทมีสัญญาบริหารที่จะทยอยเปิด 11 โรงแรม
นอกจากนี้ ยังคาดว่าจะรับรู้รายได้จากการขายโครงการเรสซิเดนซ์ที่ราชดำริในไตรมาส 4/53 ซึ่งจะทำให้รายได้ของ MINT ออกมาดีมาก รวมถึงทั้งปี 53 อัตราการเติบโตของรายได้และกำไรสูงเมื่อเทียบกับปี 52 ที่เป็นจุด Bottom ของธุรกิจ โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 16.30 บาทต่อหุ้น
ด้านนักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ"ซื้อ"หุ้น MINT โดยมีปัจจัยบวกจากผลประกอบการไตรมาส 4/52 จะออกมาดีตามธุรกิจท่องเที่ยวที่ดีขึ้น อัตราการเข้าพักในโรงแรมเพิ่มขึ้นและต่อเนื่องมายังไตรมาส 1/53 และคาดว่าผลประกอบการในปี 53 จะออกมาดีกว่าปีก่อนมาก เนื่องจากปีก่อนผลประกอบการต่ำ
ปีนี้ บล.เอเชีย พลัส คาดว่ารายได้ MINT จะอยู่ที่ 19,300 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,600 ล้านบาท ทั้งจากธุรกิจโรงแรม การเปิดโรงแรมใหม่เพิ่ม และการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปี 53 คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ St.Regis ซึ่งรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/53 นอกจากนี้ ปีนี้ยังรับรู้รายได้จาก MINOR ที่ควบรวมกิจการเมื่อไตรมาส 2/52 เต็มปี
ส่วนนักวิเคราะห์ บล.ไอร่า มองว่า ธุรกิจของ MINT ยังเติบโตต่อเนื่องจาก High season ธุรกิจโรงแรมตั้งแต่ไตรมาส 4/52-ไตรมาส 1/53 คาดว่าอัตราเข้าพักจะสูงขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าจะรับรู้รายได้จากการบริหารโรงแรมเพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้งรับรู้รายได้ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากการขายห้องชุดระดับหรูด้วย