นายอารีย์ พุ่มเสนาะ ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซี.ไอ.กรุ๊ป(CIG)กล่าวกับ“อินโฟเควสท์"ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 53 อย่างไม่เป็นทางการประมาณ 1,800 ล้านบาท คาดว่าจะเติบโตจากปีก่อน โดยขณะนี้มีคำสั่งซื้อ(ออร์เดอร์)ในมือแล้วกว่า 1,000 ล้านบาทที่จะทยอยส่งมอบในปีนี้ และเชื่อว่าคงจะมีเพิ่มเข้ามาตลอด
พร้อมกันนั้น ยังเชื่อว่าปีนี้จะมีผลประกอบการเป็นกำไรได้โดยไม่น่าจะทำให้ผิดหวัง เนื่องจากความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาทองแดงลดลง เพราะบริษัทล็อกราคาต้นทุนไว้กับลูกค้าก็น่าจะทำให้มีกำไร อีกทั้งยังมีการควบคุมต้นทุนการผลิต ควบคุมสต็อกทองแดงให้เหมาะสม เมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีก่อนที่มีความผันผวน รวมกับมีค่าใช้จ่ายต่างๆ เพิ่มขึ้น
"ปีนี้จะไม่ต้องรับภาระราคาทองแดง เพราะใช้วิธีล็อคราคากับลูกค้า ความเสี่ยงก็จะน้อยลง ตอนนี้ปัญหาสต็อกทองแดง สูงได้รับการแก้ไขแล้ว ก็น่าจะพอที่จะมีกำไร" นายอารีย์ กล่าว
สำหรับปี 52 ที่ผ่านมา ถึงแม้งวด 9 เดือนยังเป็นขาดทุน แต่ภาพรวมครึ่งปีหลังก็เริ่มดีขึ้นจากครึ่งปีแรกที่มีผลขาดทุน เนื่องจากทองแดงซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญมีราคาสูงขึ้น ประกอบกับ ยอดขายต่ำเพราะคำสั่งซื้อจากลูกค้าลดลงและมีต้นทุนการผลิตสูง
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปลายปี 52 ต่อเนื่องถึงปีนี้ ความเสี่ยงเรื่องราคาทองแดงจะลดลง เพราะบริษัทกำหนดราคาสินค้าแปรผันไปตามราคาทองแดง หากทองแดงราคาสูงขึ้นก็จะมีการปรับราคาตาม โดยจะแจ้งให้ลูกค้าทราบก่อน ซึ่งขณะนี้ราคาทองแดงอยู่ที่ราว 6,000-7,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลงมาจากปีก่อนที่ปรับขึ้นไปถึงประมาณ 8,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน แนวโน้มราคาทองแดงจะเป็นทิศทางใดนั้นคาดการณ์ยาก เพราะทองแดงช่วงนี้อยู่ในตลาดเก็งกำไรสินค้าโภคภัณฑ์ไปแล้ว
อนึ่ง CIG รายงานไตรมาส 3/52 เริ่มมีกำไร 25 ล้านบาท แต่งวด 9 เดือนยังขาดทุน 19 ล้านบาท
*คาดเซ็นสัญญารับออร์เดอร์แคร์เรียแน่ Q1/53
นายอารีย์ กล่าวว่า ออร์เดอร์ส่วนใหญ่ยังเป็นการผลิตแบบชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศให้กับแคร์เรียร์ ซึ่งมีออร์เดอร์เข้ามาจำนวนมากตั้งแต่ปลายปี 52 ทำให้พนักงานต้องทำงานล่วงเวลา(โอที)ตั้งแต่เดือน ธ.ค.52 ต่อเนื่องถึงต้นปีนี้ เพราะความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้น โดยบริษัทให้ความสำคัญกับพนักงานมาก เพราะพนักงานส่วนใหญ่ได้ผ่านการฝึกอบรมฝีมือแรงงานมาอย่างดี และความสามารถสูง
"ถึงแม้ราคาสินค้าของเราเป็นชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศแคร์เรียร์จะแพงกว่าสินค้าที่นำเข้าจากจีนถึง 20% แต่คุณภาพดีกว่าและเราไม่ต้องไปตามซ่อมแซม ทำให้ลูกค้าพึงพอใจสินค้าเรา เพราะมีคุณภาพสูง"นายอารีย์ กล่าว
ส่วนออร์เดอร์จากแคร์เรียร์จากประเทศสิงคโปร์นั้น คาดว่าจะมีการเซ็นสัญญากันได้ภายในไตรมาส 2/53 หลังจากที่รอมาตั้งแต่ปลายปีก่อน ซึ่งบริษัทก็ยืนยันว่าจะได้รับออร์เดอร์แน่นอน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบการประกอบตัวอย่างล็อตที่ 2 ซึ่งทางสิงคโปร์ต้องแน่ใจก่อนว่าเราจะผลิตได้อย่างต่อเนื่องทุกวันตามคำสั่งจึงต้องแน่ใจระบบ เพราะหากมีปัญหาหยุดผลิตอาจจะเกิดความเสียหายได้
เบื้องต้นทางแคร์เรียร์สิงคโปร์จะส่งออร์เดอร์ให้กับบริษัทผลิตมูลค่าราว 1 ล้านบาท/วัน คาดว่าอายุสัญญา 3-5 ปี และหลังจากนั้นก็คงจะมีออร์เดอร์เข้ามาต่อเนื่อง คาดรายได้ปีละ 330 ล้านบาท ในส่วนของมาร์จินเนื่องจากราคายังไม่ชัดเจนยังต้องมีการศึกษาร่วมกันและหารือกันอีกครั้ง
"ตู้คอนเทนเนอร์แรกทดสอบผ่านแล้วตอนนี้เหลืออีก 1 ตู้ ที่จะต้องรอทดสอบให้ชัวร์ก่อน แต่ค่อนข้างมั่นใจว่าจะมีการเซ็นสัญญากับเราแน่นอน เพราะทำธุรกิจร่วมกันมานาน 2 ปีแล้ว เพียงแต่ต้องมั่นใจถ้าเปิดไลน์การผลิตแล้วจะไม่เสียหาย" นายอารีย์ กล่าว
*คาดธุรกิจโรงแรมปีนี้ไปได้สวยตามท่องเที่ยวฟื้น
นายอารีย์ กล่าวถึงธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ว่า ธุรกิจโรงแรมขนาด 70 ห้องที่เกาะสมุย จ.สุราษฎรธานี ขณะนี้มีอัตราการเข้าพักเต็มหมดแล้ว 100% เชื่อว่าปีนี้จะดีมากๆ เพราะนักท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้ามาแล้ว
"ธุรกิจโรงแรมปีนี้ดีมากๆ ถ้าเทียบกับปีก่อนที่เศรษฐกิจไม่ดี แต่สัดส่วนรายได้แค่หลักสิบล้านบาท เป็นธุรกิจที่เข้ามาเสริมทางการตลาดส่วนหนึ่งเพื่อให้ลูกค้าของเราได้พักผ่อนด้วย"นายอารีย์ กล่าว