(เพิ่มเติม) ฟิทช์ให้อันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิของ KTB ที่ 'AA(tha)'

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 5, 2010 14:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) ที่ระดับ ‘AA(tha)’ แก่หุ้นกู้ด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกัน ของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB โดยหุ้นกู้ด้อยสิทธิดังกล่าวมีมูลค่ารวมไม่เกิน 1.4 หมื่นล้านบาท และมีอายุ 10 ปี พร้อมให้แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ

การจัดอันดับเครดิตของ KTB ครั้งนี้มีพื้นฐานมาจากการถือหุ้นใหญ่และการสนับสนุนที่แข็งแกร่งของรัฐบาล รวมทั้งสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นของธนาคาร ถึงแม้ว่าธนาคารยังคงมีความเสี่ยงในด้านของผลการดำเนินงานที่อาจปรับตัวลดลงในอนาคต KTB เป็นธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 17% และมีกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่จัดตั้งโดยธนาคารแห่งประเทศไทยถือหุ้นในสัดส่วน 55% เมื่อพิจารณาถึงขนาดและความสำคัญของ KTB ต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจ รวมทั้งการที่ทางรัฐบาลถือหุ้นใหญ่และมีอำนาจควบคุมธนาคาร ฟิทช์เชื่อว่ามีความเป็นไปได้อย่างสูงที่ธนาคารจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐหากมีความจำเป็น ในขณะที่การที่ทางรัฐบาลถือหุ้นใหญ่และมีอำนาจควบคุมธนาคารมีส่วนช่วยสนับสนุนอันดับเครดิตระยะยาวของ KTB ปัจจัยดังกล่าวข้างต้นอาจทำให้ผลการดำเนินงานของธนาคารอ่อนแอลงได้ เนื่องจากธนาคารต้องสนับสนุนนโยบายของภาครัฐ

แม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศได้ชะลอตัวลงอย่างมากในปี 2552 แต่กำไรสุทธิของ KTB ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับเดิมที่ 12.2 พันล้านบาท (เทียบกับกำไรสุทธิปี 2551 ที่ 12.3 พันล้านบาท) ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่ลดลง ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงเป็น 42.5 พันล้านบาท ในปี 2552 จาก 45.8 พันล้านบาทในปี 2551 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยผลตอบแทนที่ลดลง อัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ลดลง รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของเงินกู้ระหว่างธนาคารที่มีอัตราผลตอบแทนต่ำ ดังนั้นส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิของ KTB จึงลดลงเป็น 3.2% ในปี 2552 จาก 3.9% ในปี 2551 อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์และอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนผู้ถือหุ้นของธนาคารยังคงทรงตัวอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้าที่ 0.9% และ 11.4% ในปี 2552

KTB ยังคงมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อยู่ในระดับสูงที่ 85.5 พันล้านบาท หรือ 8% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2552 (เทียบกัน 86 พันล้านบาท หรือ 8.2% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นปี 2551) อัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของ KTB ปรับตัวดีขึ้นเป็น 47.3% จาก 41.4% ณ สิ้นปี 2551 แต่ยังคงอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของระบบธนาคารพาณิชย์ที่ประมาณ 70%

ถึงแม้ว่า เศรษฐกิจของประเทศโดยรวมเริ่มที่จะปรับตัวดีขึ้น และฟิทช์ได้ประมาณการณ์อัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2553 ที่ 3% (ปี 2552: -2.3%) แต่อย่างไรก็ตามธนาคารยังคงมีความเสี่ยงในด้านผลการดำเนินงาน เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังคงอยู่ในระดับที่อ่อนแออยู่ ด้วยอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อของ KTB ที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงอ่อนแอ อาจทำให้การตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของธนาคาร

การระดมเงินทุนและสภาพคล่องของ KTB ยังคงมีเสถียรภาพ เนื่องจากธนาคารเป็นหนึ่งในธนาคารที่มีฐานลูกค้าเงินฝากที่แข็งแกร่งที่สุดในประเทศไทย โดยพนักงานรัฐวิสาหกิจและข้าราชการส่วนใหญ่จะมีเงินฝากกับธนาคาร อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากของธนาคารปรับตัวดีขึ้นเป็น 89.1% ณ สิ้นปี 2552 จาก 98.5% ณ สิ้นปี 2551 จากอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัวลง อัตราส่วนเงินกองทุนของ KTB อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเช่นกัน โดยธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่ 10.1% และมีอัตราส่วนเงินกองทุนรวมที่ 15.9% ณ สิ้นปี 2552 จากการประเมินสถานะความแข็งแกร่งทางการเงินในกรณีที่ภาวะเศรษฐกิจอ่อนตัวลงไม่มากนัก (Low Stress Scenario) ธนาคารจะยังคงมีเงินกองทุนอยู่ในระดับที่เพียงพอ ถึงแม้ว่าผลการดำเนินงานของธนาคารอาจถูกกระทบจากการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญที่เพิ่มขึ้น


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ