ธนาคารเกียรตินาคิน(KK)ระบุว่าในช่วงกลางปี 53 จะมีการพิจารณาทบทวนเป้าหมายสินเชื่อในปีนี้จากที่คาดเติบโต 8-12% โดยจะประเมินภาพการปล่อยสินเชื่อในช่วงต้นปี ซึ่งไตรมาสแรกสินเชื่อลีสซิ่งขยายตัวได้ดีมาก ขณะที่ภาพรวมสินเชื่อเติบโตได้ราว 5%
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ธนาคารได้ปรับเป้าหมายการลดสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)เป็นการลดให้เหลือราว 5% ภายในปีนี้ จากเป้าหมายเดิมจะลดให้เหลือ 6%
ธนาคารยังเชื่อว่าผลประกอบการในปีนี้จะเติบโตขึ้นจากปี 52 และน่าจะยังจ่ายเงินปันผลได้อย่างต่อเนื่อง โดยธนาคารไม่กังวลกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศมากนัก แต่กลับเห็นว่าปัญหาภัยแล้งน่าจะมีผลกระทบมากกว่า และ คาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)คงจะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายภายในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ และการลงทุนก็ยังไม่ขยายตัวมากเช่นกัน
นายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล กรรมการผู้จัดการใหญ่ KK กล่าวว่า การปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ของธนาคารในช่วงเดือน ก.พ.53 ปล่อยสินเชื่อได้สูงสุดในรอบ 2 ปีถึง 6,000 คัน ขณะที่เดือน มี.ค.53 น่าจะเพิ่มเป็น 7,000 คัน หรือเฉลี่ยปล่อยสินเชื่อได้ 2,500 ล้านบาท/เดือน ดังนั้น คาดว่าไตรมาส 1/53 ธนาคารจะปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อได้ถึง 7,000 ล้านบาท มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ปล่อยสินเชื่อได้ 3,500 ล้านบาท
"ยอดลิสซิ่งปล่อยได้เยอะมาก โดยเฉพาะเดือน ก.พ.ปล่อยได้ 6 พันคัน สูงสุดในรอบ 2 ปี เฉลี่ยน่าจะปล่อยสินเชื่อได้ 2,500 ล้านบาท/เดือน ยอดจำหน่ายรถยนต์ในภูมิภาคดีขึ้นมาก โดยเฉพาะรถปิกอัพ เพราะราคาสินค้าเกษตรดีทำให้ รายได้เกษตรกรดีไปด้วย ซึ่งในช่วงก่อนวันสงกรานต์ จะมีคนซื้อรถยนต์กันมาก"นายธวัชไชย กล่าวขณะที่การปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะสินเชื่อโครงการ มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงที่มาตรการอสังหาริมทรัพย์ใกล้จะสิ้นสุดลงในเดือน มี.ค.53 ทำให้ประชาชนเร่งตัดสินใจซื้อบ้านและเร่งโอน โดยไตรมาส 1/53 คาดว่าสินเชื่อโครงการอสังหาฯจะเติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดสินเชื่อคงค้าง 15,000 ล้านบาท เพิ่มเป็น 16,000-17,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ผลประกอบการในปี 53 คาดว่าจะเติบโตดีขึ้นจากปี 52 โดยยอมรับว่าเรื่องต้นทุนดอกเบี้ยคงไม่สามารถควบคุมได้ขึ้นอยู่กับภาวะตลาด ดังนั้นธนาคารจะเน้นการควบคุมค่าใช้จ่ายให้ดี โดยเฉพาะการควบคุม NPL เพื่อลดภาระการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญน้อยลง ซึ่งปัจจุบัน NPL อยู่ที่ 5.6% เดิมคาดว่าจะควบคุมไม่ให้เกิน 6% แต่ได้ปรับเป้าหมายให้เหลือไม่เกิน 5% แล้ว
นายธวัชชัย กล่าวถึงปัญหาการเมืองในประเทศที่จะมีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น มองว่าเป็นเพียงปัญหาระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งอาจมีผลทางจิตวิทยา ทำให้ประชาชนไม่กล้าใช้จ่าย ไม่กล้าลงทุน แต่เชื่อว่าการชุมนุมครั้งนี้ไม่น่าจะมีปัญหารุนแรง โดยเชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้
"การเมืองอาจจะมีผลแค่สั้นๆ ไม่น่าจะกระทบการลงทุน เหมือนในช่วงปีที่แล้ว ช่วงเดือน เม.ย.ที่ทำให้ช่วงไตรมาส 2 ทุกอย่างชะงัก แต่หลังจากนั้นไตรมาส 3-4 ก็กลับมาปกติ ดังนั้นให้มองระยะยาวมากกว่า" นายธวัชชัย กล่าว