โบรกฯส่วนใหญ่มีมุมมองเป็นบวกต่อภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้ เนื่องจากปัจจัยหลักจากความกังวลต่อความเสี่ยงต่าง ๆ น่าจะลดลงจากข้อมูลที่ออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินในแถบยุโรปที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยูโรโซน มองว่าเม็ดเงินต่างประเทศจะไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเอเชียมากขึ้น หลังเศรษฐกิจยูโรโซนชะลอตัว เพราะเศรษฐกิจแถบเอเชียมีการเติบโตดี
นอกจากนี้ จะได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่ฤดูกาล และส่วนใหญ่บริษัทจดทะเบียนในตลาดฯจะมีผลประกอบการในงวดครึ่งปีหลังที่เติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก อีกทั้งผ่านช่วงไตรมาส 2/53 ที่มีปัจจัยเหตุการณ์การเมืองไม่สงบด้วย ซึ่งคาดว่าปีนี้กำไร บจ.(Earning Growth)เติบโตในช่วง 15-17%
ส่วนปัจจัยทางการเมืองในครึ่งปีหลัง ตลาดฯคงจะได้รับแรงกดดันเป็นระยะ ๆ แต่ก็คาดหวังว่าจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมให้รอดูการโหวตงบประมาณในเดือนสิงหาคม ว่าจะผ่านหรือเปล่า แต่เชื่อว่าน่าจะผ่านได้
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจเข้าลงทุนในช่วงครึ่งหลังปีนี้ โบรกฯส่วนใหญ่แนะลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานเป็นหลัก แต่ก็มีแนะลงทุนกลุ่มแบงก์, ยานยนต์, หุ้นกลุ่ม defensive อย่างเช่น กลุ่มอาหาร, ค้าปลีก และส่งออก
ขณะที่ประเด็นเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่า มองธุรกิจที่น่าจะได้ประโยชน์เป็นกลุ่มถ่านหิน, สินค้าเกษตร, ท่องเที่ยว และนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์(Commodity)
โบรกเกอร์ เป้าหมายดัชนี SET ปี 53 หุ้นที่น่าลงทุนใน H2/53 สมาคมนักวิเคราะห์ฯ 827(กำลังทบทวนใหม่) - บล.ทิสโก้ 820(กำลังทบทวนใหม่) - Merrill Lynch 820 - บล.ฟาร์อีสท์ 820 กลุ่มพลังงาน-แบงก์ บล.ไทยพาณิชย์ 836 กลุ่มพลังงาน-ถ่านหิน-สินค้าเกษตร-ท่องเที่ยว-นิคมอุตสาหกรรม บล.ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ 887 - บล.พัฒนสิน 846, 876 กลุ่มอาหาร-ค้าปลีก-ส่งออก บล.ฟินันเซีย ไซรัส 860 กลุ่มแบงก์-พลังงาน-ยานยนต์-ส่งออก
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนลูกค้าบุคคล บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้(H2/53)มีมุมมองในเชิงบวก โดยปัจจัยหลักจากความกังวลต่อความเสี่ยงจะลดลง เพราะข้อมูลจะมีออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะปัจจัยในยุโรป(ปัญหาหนี้สินในยุโรป)อีกทั้งมองว่าเศรษฐกิจน่าจะมีการขยายตัวต่อไปได้
ทั้งนี้ ได้มองเป้าหมายดัชนี SET ปี 53 ไว้ที่ 836 จุด อาจจะมีการทบทวนใหม่อีกครั้ง แต่ในครึ่งปีหลังดัชนี SET น่าจะมีโอกาสวิ่งขึ้นไปได้สูงสุดถึง 900 จุด ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายดัชนี SET ของปีหน้า(54) ส่วนกำไรของบริษัทจดทะเบียน(Earning Growth)ในปี 53-54 คาดว่าจะเติบโต 15% ต่อปี โดยคาดการณ์กำไร อ้างอิงข้อมูลจากบลูมเบิร์ก consensus
หุ้นที่น่าสนใจเข้าลงทุนในช่วงครึ่งหลังปีนี้ มองหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่างกลุ่ม ปตท.(PTT)เพราะระดับราคาหุ้นยัง Laggard และปัจจัยกดดันเรื่องมาบตาพุดจะคลี่คลายดีขึ้นเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ ค่าเงินหยวนที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทำให้มองธุรกิจที่น่าจะได้ประโยชน์เป็นกลุ่มถ่านหิน, สินค้าเกษตร, ท่องเที่ยว และนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหุ้นที่ระดับราคาน่าจะปรับตัวดีในครึ่งปีหลัง เพราะปัจจุบันราคาหุ้นยังต่ำอยู่ เนื่องจากที่ผ่านมาราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัจจัยการเมืองในครึ่งปีหลังน่าจะปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
นายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิจัย บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งหลังปีนี้มีมุมมองเป็นบวก เนื่องจากมองว่าคงมีเม็ดเงินต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเอเชียมากขึ้น ภายหลังจากเศรษฐกิจในยูโรโซนชะลอตัว ขณะที่เศรษฐกิจในเอเชียมีการเติบโตดี
แม้ว่าปัญหาเศรษฐกิจในยูโรโซนชะลอ ซึ่งจะกระทบการส่งออกของไทยบ้าง แต่คงจะไม่มาก เพราะไทยได้มีการกระจายสินค้าส่งออกไปประเทศต่าง ๆ ในเอเชียมากขึ้นในขณะนี้
ทั้งนี้ ได้มองเป้าดัชนี SET ปี 53 ไว้ที่ 860 จุด ค่า P/E กว่า 13 เท่า คาดการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโต 15% ช่วงครึ่งปีหลังหุ้นที่น่าสนใจยังเป็นกลุ่มแบงก์, พลังงาน, ยานยนต์ และกลุ่มส่งออก โดยเฉพาะหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์(Commodity)คาดว่าจะได้รับประโยชน์หลังจากค่าเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น เพราะเชื่อว่าจีนจะสั่งสินค้านำเข้ามากขึ้น
ส่วนปัจจัยทางการเมืองในครึ่งปีหลัง ตลาดฯคงจะได้รับแรงกดดันเป็นระยะ ๆ พร้อมให้รอดูการโหวตงบประมาณรายจ่ายประจำปี 54 วาระ 3 ในเดือน ส.ค.นี้ว่าจะผ่านหรือเปล่า แต่เชื่อว่าน่าจะผ่านได้ นอกจากนี้ ยังคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 4.5%
ขณะที่นายปริญทร์ กิจจาทรพิทักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยครึ่งหลังปีนี้ ดัชนี SET น่าจะปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมองว่าได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่ฤดูกาล และส่วนใหญ่บริษัทจดทะเบียนจะมีผลประกอบการงวดครึ่งปีหลังเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก อีกทั้งไตรมาส 2/53 เจอผลกระทบจากเหตุการณ์การเมืองไม่สงบด้วย
นอกจากนี้ เศรษฐกิจในประเทศมองว่าน่าจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และปัจจัยการเมืองก็ไม่น่าจะส่งผลกระทบรุนแรงเท่ากับช่วงไตรมาส 2/53 ดังนั้น จึงได้คาดการณ์เป้าหมายดัชนี SET ปีนี้ไว้ที่ 820 จุด ค่า P/E คิดเป็นกว่า 10 เท่า และคาดการณ์การเติบโตกำไรของบริษัทจดทะเบียน(Earning Growth)ปีนี้เติบโต 15%
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลังมองว่าหุ้นบิ๊กแคปจะน่าลงทุน โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มแบงก์ อย่างหุ้นในกลุ่มพลังงานจะเห็นได้ว่าราคาหุ้นไม่ค่อยจะขยับตัวขึ้นไป เนื่องจากมีปัจจัยถ่วงมาจากปลายปีก่อนไม่ว่าจะเรื่องไฟไหม้ที่มอนทารา และกรณีปัญหามาบตาพุด อีกทั้งยังเจอแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติด้วยหลังจากที่มีเหตุการณ์วิกฤตหนี้สินในยุโรป
อย่างไรก็ดี ตลาดฯได้รับรู้ฯปัจจัยลบทั้งเรื่องมายตาพุดและมอนทาราไปมากแล้ว โดยเฉพาะปัญหามาบตาพุดก็ได้รับการแก้ไขปัญหาอยู่เรื่อย ๆ และพัฒนาการไปในทางบวกมากขึ้น นอกจากนี้ ประเทศจีน, อินเดีย และประเทศในแถบเอเชีย ยังแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจยังมีการเติบโตดีอยู่ ทำให้ความต้องการใช้พลังงานมีเพิ่มขึ้นในครึ่งปีหลัง ซึ่งก็เป็นปัจจัยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงานในครึ่งปีหลัง
สำหรับหุ้นกลุ่มแบงก์ในช่วงครึ่งปีหลังก็น่าจะรับประโยชน์จากตัวเลข GDP ของไทยที่เติบโตดี ทำให้คาดว่าน่าจะมีการขยายตัวของสินเชื่อเพิ่มขึ้น
*โบรกฯที่มองภาวะตลาดฯ H2/53 ผันผวน
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้บังคับบัญชาสายงานวิจัย บล.พัฒนสิน มองว่า ตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังปีนี้น่าจะผันผวน เนื่องจากคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะเป็นขาลง รับผลกระทบจากปัญหาอียู โดยเดือนก.ค.-ส.ค.อียูจะมีเงินกู้ครบกำหนดชำระ จึงต้องติดตามว่าเกิดปัญหาในการชำระหนี้หรือไม่ และธนาคารในยุโรปจะต้องมีการเพิ่มทุนอีก รวมถึงอัตราดอกเบี้ยในเอเชียน่าจะเป็นขาขึ้น ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ หากอัตราดอกเบี้ยมีการเร่งตัวขึ้นก็จะทำให้หุ้นไปไม่ได้ และยิ่งค่าเงินหยวนแข็งค่า ก็จะแสดงให้เห็นว่าเงินเฟ้อของโลกมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น ดังนั้นอัตราดอกเบี้ยก็ต้องปรับตัวขึ้น และตลาดหุ้นไทยก็คงจะปรับตัวลง
สำหรับเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้ให้ไว้ที่ 846 จุด ค่า P/E 13 เท่า และมองเป้าดัชนี SET สูงสุดที่ 872 จุด ค่า P/E 13.4 เท่า พร้อมคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนเติบโต 17% โดยในช่วงครึ่งปีหลังหุ้น defensive เป็นหุ้นที่น่าลงทุน อย่างหุ้นในกลุ่มอาหาร, ค้าปลีก และส่งออก เพราะเล่นแล้วปลอดภัย ซึ่งแม้เศรษฐกิจจะไม่ดีแต่คนก็ต้องกินต้องใช้อยู่ แต่ราคาหุ้นในปัจจุบันก็ได้วิ่งขึ้นมาตอบรับบ้างแล้วเหมือนกัน
ด้าน Merrill Lynch ปรับลดคาดการณ์ดัชนี SET Index ณ สิ้นปี จาก 860 จุด เหลือ 820 จุด จากการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกเริ่มชะลอลง ซึ่งได้ทำให้ตลาดโภคภัณฑ์เริ่มลดความร้อนแรง