เมื่อเวลา 15.21 น.หุ้น TCAP บวก 2.00% มาที่ 38.25 บาท เพิ่มขึ้น 0.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 466.68 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 38.00 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุด 39.00 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 37.75 บาท
หุ้น KK บวกแรง 5.19% มาที่ 35.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท มูลค่าการซื้อขาย 135.74 ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 34.25 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุด 35.75 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 34.00 บาท
หุ้น TISCO พุ่ง 5.63% มาที่ 37.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 206.34 ล้านบาท เปิดตลาดที่ 36.00 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 38.00 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 35.75 บาท
น.ส.อุษณีย์ ลิ่วรัตน์ นักวิเคราะห์ บล.เอเชียพลัส กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มแบงก์ปรับขึ้นค่อนข้างมากและหลายตัวในวันนี้น่าจะมาจาก Fund Flow ของต่างชาติที่เข้ามาลงทุนเป็นหลัก และด้วยทิศทางการดำเนินธุรกิจที่สดใส ทั้งสินเชื่อและดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อแนวโน้มการทำกำไรที่เพิ่มขึ้น
ขณะที่ประเด็นเรื่องการปรับลดค่าธรรมเนียมยังไม่ชัดเจนและล่าช้าออกไปทำให้นักลงทุนสบายใจ แม้ในระยะยาวหากมีการลดค่าธรรมเนียมก็เชื่อว่าคงจะกระทบไม่มากเพียง 5-6% ซึ่งประเมินว่าแบงก์แต่ละแห่งสามารถหารายได้ในส่วนอื่นมาชดเชยได้ และการปรับขึ้นในวันนี้จะเห็นว่าหุ้นกลุ่มแบงก์ที่มีขนาดเล็กก็ปรับขึ้นตามด้วย
ทั้งนี้ หากพิจารณาจะพบว่าแรงซื้อกลุ่มแบงก์มี 2 ประเภท คือ มาจาก Fund Flow ต่างชาติ และอีกบางตัว โดยเฉพาะขนาดเล็กกลับมาปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยตามตัวใหญ่ อย่าง TCAP, TISCO, KK ที่ราคายังต่ำกว่า BV
โดยเฉพาะ TCAP ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น เนื่องจากมีโครงสร้างสินเชื่อเป็นอัตราดอกเบี้ยลอยตัวถึง 47% ขณะที่มีโครงสร้างเงินฝากและเงินกู้ยืมที่เป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ 82% ทำให้ได้รับผลบวกต่อ NIM สูง โดยทุกๆ 25bp ที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นจะทำให้ NIM ของ TCAP เพิ่มขึ้น ด้วยปัจจัยบวกดังกล่าว จึงปรับเพิ่ม Fair value ของ TCAP
"เรายังคงให้น้ำหนักการลงทุนในกลุ่มแบงก์ แม้วันนี้ราคาจะปรับเพิ่มขึ้นและเร็วมาก แต่ก็ยังลงทุนได้เพราะด้วยแนวโน้มธุรกิจที่ยังดี"นส.อุษณีย์ กล่าว