GEL ขายหุ้น AQUA นำไปใช้ขยายลงทุน-ซื้อหุ้น MILL 20%-ลงทุน 80 ลบ.พัฒนาที่ดินจ.ปทุมฯ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 5, 2014 10:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวุฒิชัย เศรษฐบุตร กรรมการ รบมจ.เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง (GEL) แจ้งว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 10/2557 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2557 ได้มีมติอนุมัติการจำหน่ายเงินลงทุนในบมจ. อควา คอร์เปอเรชั่น (AQUA) ให้แก่ นายธีระชัย รัตนกมลพร จำนวน 100,000,000 หุ้น และนายกำพล วีระเทพสุภรณ์ จำนวน 271,285,132 หุ้น รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 371,285,132 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.94 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ในราคาหุ้นละ 1 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 371,285,132 บาท

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2557 มูลค่าตามบัญชีของ AQUA จำนวน 371,285,132 หุ้น เฉลี่ยหุ้นละ 0.88 บาท คิดเป็น มูลค่า 326,730,916.16 บาท

การขายหุ้น AQUA เป็นนโยบายของคณะกรรมการบริษัทที่ได้เคยแจ้งตลาดหลักทรัพย์ไว้ก่อนแล้ว ซึ่งตามมติคณะกรรมการวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 ได้มีมติขายหุ้นAQUA จำนวน 315,000,000 หุ้น ในราคา 0.80 บาท และ AQUA-W2 จำนวน 285,000,000 หุ้น ในราคา 0.51 บาท แต่เนื่องจากนักลงทุนซื้อไม่ครบ ทั้งจำนวน บริษัทจึงยังมีหุ้น AQUA คงเหลือ 500,080 หุ้น และ AQUA-W2 เหลืออีก 285,000,040 หุ้นโดยมติคณะกรรมการในคราวนั้นคือให้หานักลงทุนมาซื้อหุ้นที่เหลือดังกล่าว

ที่ผ่านมา บริษัทก็ยังหานักลงทุนที่จะมาซื้อเพิ่มไม่ได้ และ AQUA-W2 กำลังจะครบอายุและสามารถแปลงสภาพได้ครั้งสุดท้าย โดยกำหนดที่จะซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันสุดท้ายคือวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2557 และจะพ้นสภาพจากการเป็ นหลักทรัพย์จดทะเบียนในวันที่ 15 มีนาคม 2557

ดังนั้นที่ประชุมคณะกรรมการวันที่ 31 มกราคม 2557 จึงได้มีมติให้บริษัทจ่ายเงินค่าแปลงสภาพจำนวน 0.576 บาทต่อหุ้นเนื่องจากราคาตลาดยังสูงกว่าราคาแปลงสภาพในขณะนั้น ถ้าไม่แปลงสภาพ เงินลงทุนบริษัทจะสูญเสียทั้งจำนวน ทำให้บริษัทได้หุ้น AQUA มาจากการแปลงสภาพจำนวน 370,785,052 หุ้น เมื่อรวมกับหุ้นที่ยังเหลืออยู่ 500,080 หุ้น บริษัทจะถือหุ้น AQUA อยู่ทั้งสิ้น 371,285,132 หุ้น และมติคณะกรรมการในการแปลงสภาพยังคงมีนโยบายที่ขายหุ้น AQUA ออกไปหากสามารถขายได้

ในครั้งนี้ ได้มีนักลงทุนติดต่อที่จะซื้อหุ้น AQUA จำนวน 371,285,132 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท

บริษัทจะใช้เงินที่ได้รับเงินจากการจำหน่ายเงินลงทุนใน AQUA จำนวน 371,285,132 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 8.94 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ในราคาหุ้นละ 1 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 371,285,132 บาท ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและเงินในการขยายการลงทุนของบริษัทฯ

การขายหุ้นครั้งนี้ ทำให้บริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มขึ้น โดยบริษัทสามารถนำเงินที่ได้จากการขายนำไปลงทุนในธุรกิจที่เป็นธุรกิจหลักและหรือธุรกิจอื่นที่มีส่วนเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก ซึ่งในระยะยาวก็จะก่อให้เกิดผลกำไรกับบริษัทมากกว่า

คณะกรรมการบริษัท ยังได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าทำการซื้อหุ้นของบมจ. มิลล์คอน สตีล (MILL) ได้แก่ (1) หุ้นสามัญจำนวน 251,007,266 หุ้น ในราคาหุ้นละ 1.93 บาท เป็นเงิน 484,444,023.38 บาท (2) หุ้นบุริมสิทธิ (MILL-PA) จำนวน 249,555,211 หุ้น ในราคาหุ้นละ 2.12 บาท เป็นเงิน 529,057,047.32 บาท รวม ทั้งสิ้น 500,562,477 หุ้น หรือสัดส่วน 20.00 % ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,013,501,070.70 บาท จากผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 6 ราย ได้แก่ Aero Sun Investments Limited , บจก.อินดัสเตรียลล์ เบเทลิกุง (ประเทศไทย), IB ASIA Company limited, นายวรพจน์ อำนวยพล, นายปฏิภาณ ชาตะเมธีกุล และ น.ส.สุชาดา มุดจนทองสุข

เหตุผลที่เข้าซื้อเนื่องจาก บริษัทต้องการขยายธุรกิจวัสดุก่อสร้างให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นในอนาคต จึงมีความต้องการโอกาสในการหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนธุรกิจผลิตชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยฝ่ายบริหารเล็งเห็นว่า Millcon เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักที่จะช่วยส่งเสริมการผลิตสินค้าวัสดุก่อสร้างของบริษัท ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง, ผลิตภัณฑ์พื้นคอนกรีตอัดแรงและผลิตภัณฑ์ผนังคอนกรีตสำเร็จรูป

นอกจากนี้การได้ความรู้และความเชี่ยวชาญและความได้เปรียบทางด้านวัตถุดิบจะเป็นประโยชน์แก่บริษัทเป็นอย่างมาก ซึ่งจากการเข้าเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ Millcon บริษัทตั้งเป้ ที่จะได้รับประโยชน์ในหลายๆด้านจากความร่วมมือประสานงานกันระหว่างสองบริษัท (Synergy) อาทิเช่น การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของธุรกิจซื้อขายผลิตภัณฑ์เหล็กและเศษเหล็ก การถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์เหล็กที่บริษัทใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตของหลายผลิตภัณฑ์ การพัฒนาและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เหล็กเพื่อใช้ในโครงสร้างคอนกรีตหล่อสำเร็จรูปของบริษัท รวมไปถึงการขยายตลาดไปยังภูมิภาคอื่นๆทั้งในและต่างประเทศ ความร่วมมือประสานงานกันระหว่างสองบริษัทนี้จะทำให้บริษัทสามารถพัฒนาขยายตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงการเพิ่มรายได้จากการพัฒนาการค้าในภูมิภาคอื่นๆที่มีศักยภาพ ลดความเสี่ยงจากการผันผวนของราคาผลิตภัณฑ์เหล็ก ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นทุนหลักของผลิตภัณฑ์ของบริษัทลดปัญหาการขาดแคลนผลิตภัณฑ์เหล็กที่อาจเกิดขึ้นได้ในบางช่วงเวลา และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการ บริหารจัดการการจัดส่งและการจัดเก็บสต็อคของสินค้าและวัตถุดิบของบริษัท

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติการลงทุนพัฒนาที่ดินของบริษัท ซึ่งตั้งอยู่ที่ ถนนคลองวัดพลับ ถนนสายศูนย์ศิลปาชีพบางไทร (ทล.347) ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ในงบประมาณรวม 80 ล้านบาท ซึ่งอยู่ระหว่างที่จะดำเนินการจัดซื้อ จัดจ้าง และอยู่ระหว่างการคัดเลือก

บริษัทฯมีแผนที่จะลงทุนพัฒนาที่ดินของบริษัท ซึ่งตั้งอยู่ที่ ถนนคลองวัดพลับ ถนนสายศูนย์ศิลปาชีพบางไทร (ทล.347) ตำบลเชียงรากน้อย อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ในงบประมาณรวม 80 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นพื้นที่ จัดเก็บสินค้าและจอดรถบรรทุก เพื่อรองรับการดำเนินงานและการขยายตัวของบริษัทในอนาคต


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ