วานนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท NCL อนุมัติการออกใบสำคัญแสดงสิทธิจะซื้อหุ้นสามัญ(วอร์แรนต์)รุ่นที่ 1 หรือ NCL-W1 จำนวน 140 ล้านหน่วย จัดสรรให้ฟรีแก่ผู้ถือหุ้นเดิม 3 หุ้นเดิมต่อ 1 วอร์แรนต์ วอร์แรนต์มีอายุ 2 ปีนับแต่วันที่เสนอขาย กำหนดราคาใช้สิทธิ 4 บาท/หุ้นในอัตรา 1 วอร์แรนต์ต่อ 1 หุ้นใหม่ พร้อมเพิ่มทุนรองรับ จากเดิม 105 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นสามัญใหม่ 140 ล้านหุ้น พาร์หุ้นละ 0.25 บาท เงินที่ได้จากการแปลงสภาพวอร์แรนต์จะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและขยายกิจการ
นายกิตติ กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจดังกล่าวราว 100 ล้านบาทในปี 59 โดยจะรับรู้รายได้จากค่าบริการเป็นหลัก ขณะที่จะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 23% เมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจเดิมที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 16-17% บริษัทใองว่าธุรกิจนี้ยังมีการเติบโตได้อีกมาก และ NCL ยังมีส่วนแบ่งตลาด(มาร์เก็ตแชร์)อยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมเดินเรือแบบครบวงจรทั่วไป โดยธุรกิจนี้เกิดขึ้นมานานหลายสิบปี มีการให้บริการในแถบทางด้านอินเดีย ตะวันออกกลาง เอเชียและอื่นๆ ซึ่งทาง NCL ได้เปิดดำเนินการทางด้านนี้มาสักระยะหนึ่ง และสามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้เป็นอย่างดี
"ธุรกิจใหม่ จะเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการทั้งการนำเข้าและส่งออก โดยมองว่าอุตสาหกรรมฯยังสามารถเติบโตได้อีกมาก ตามความต้องการของลูกค้าที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ในปี 59 เราจะประเมินว่าการส่งออกโดยรวมจะไม่ได้ดีกว่าปีนี้ แต่ด้วยขนาดมาร์เกตไซต์ที่ใหญ่ เราก็ถือว่ายังมีโอกาสที่จะขยายตลาดได้อีก และคาดหวังในอีก 2 ปีข้างหน้าเราจะเติบโตได้มากกว่านี้ และตั้งเป้าจะมีตู้ขนส่งราว 5,000 ตู้"นายกิตติ กล่าว
สำหรับภาพรวมของบริษัทนั้น นายกิตติ กล่าวว่า NCL ตั้งเป้ารายได้ระยะยาวเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 30% โดยปี 59 คาดรายได้จะเติบโตไม่น้อยกว่า 20-30% ซึ่งในปีหน้าแผนการดำเนินธุรกิจยังคงเดินหน้าขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้ารายใหม่ โดยเน้นธุรกิจโลจิสติกส์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ขณะที่ผลประกอบการปีนี้ บริษัทฯมั่นใจรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่ 1,000 ล้านบาท แต่ยังมีผลขาดทุน ซึ่งผลขาดทุนสะสมราว 73 ล้านบาท แม้คาดว่าในไตรมาส 4/58 จะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิจากไตรมาส 3/58 ที่ขาดทุนราว 36.02 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทยกเลิกการให้บริการขนส่งสินค้าจากท่าเรือระนองไปยังท่าเรือย่างกุ้ง ทำให้มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นประมาณ 90 ล้านบาท ประกอบกับรับรู้รายได้จากบริษัทย่อยที่สิงค์โปร์ที่บริษัทถือหุ้นทั้ง 100 %