(เพิ่มเติม) TU เตรียมออกหุ้นกู้ 1.3 หมื่นลบ.ใช้คืนเงินกู้ระยะสั้นที่เข้าซื้อ"เรด ล็อบสเตอร์"ในสหรัฐ มูลค่า 575 ล้านเหรียญ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 11, 2016 15:34 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) จะใช้เงิน 575 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 2 หมื่นล้านบาท เพื่อเข้าลงทุนในบริษัท เรด ล็อบสเตอร์ ซีฟู้ด (Red Lobster Seafood Co.) ในสหรัฐ ซึ่งทำธุรกิจเครือข่ายร้านอาหาร "Red Lobster" และนับเป็นภัตตาคารอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อขยายไปสู่ภาคธุรกิจใหม่ ในการให้บริการร้านอาหารแบบค้าปลีกที่มุ่งไปสู่การเข้าถึงลูกค้าโดยตรง และคาดว่าจะได้รับกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่จะเพิ่มขึ้นจากอัตรากำไรสุทธิที่อาจได้รับจาก Red Lobster โดยเงินลงทุนดังกล่าวจะมาจากเงินกู้ระยะสั้นกับสถาบันการเงินในประเทศไม่เกิน 2.01 หมื่นล้านบาท ขณะที่เตรียมจะออกหุ้นกู้วงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาทภายในปีนี้ เพื่อใช้คืนเงินกู้ระยะสั้นดังกล่าวต่อไป

TU แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯเมื่อคืนนี้ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (10 ต.ค.) อนุมัติการเข้าลงทุนโดยบริษัท หรือบริษัทย่อย เข้าลงทุนในหน่วยลงทุนสามัญจำนวน 1.69 ล้านหน่วยของ Red Lobster Master Holdings, L.P. (Red Lobster) ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของรัฐดัลลาแวร์ และหุ้นกลุ่ม H ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ GGCOF RL Blocker, LLC (RL LLC) ซึ่งเป็นบริษัทประเภทจำกัดความรับผิดที่จัดตั้งขึ้นภายใต้กฎหมายของรัฐดัลลาแวร์และเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนใน Red Lobster โดยการเข้าซื้อหุ้นกลุ่ม H ดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนในหน่วยลงทุนสามัญของ Red Lobster เพิ่มเติมอีก 8.13 แสนหน่วย ซึ่งการเข้าซื้อตราสารทั้งสองประเภทดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนคิดเป็นสัดส่วนที่ปรับลดแล้วเท่ากับ 25% ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งมดของ Red Lobster

ทั้งนี้ ผู้ซื้อจะซื้อตราสารทั้งสองประเภทใน Red Lobster ซึ่งรวมถึงกิจการในเครือของกองทุนที่จัดการโดย Golden Gate Private Equity, Inc. (ผู้ขาย) ในราคา 230 ล้านเหรียญสหรัฐ

นอกจากนี้อนุมัติการลงทุนหน่วยลงทุนบุริมสิทธิที่แปลงสภาพได้จำนวน 1.62 ล้านหน่วย ของ Red Lobster และหุ้นกลุ่ม G ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ RL LLC โดยการเข้าซื้อหุ้นกลุ่ม G ดังกล่าวเทียบได้กับการเข้าลงทุนในหน่วยลงทุนบุริมสิทธิที่แปลงสภาพได้ของ Red Lobster เพิ่มเติมอีกจำนวน 7.8 แสนหน่วย ทั้งนี้ การเข้าซื้อตราสารทั้งสองประเภทดังกล่าว เทียบได้กับการเข้าลงทุนคิดเป็นสัดส่วนที่ปรับลดแล้วเท่ากับ 24% ของหน่วยลงทุนที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ Red Lobster ซึ่งผู้ซื้อจะซื้อตราสารทั้งสองประเภทจากผู้ขายในราคา 345 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ การเข้าซื้อตราสารทั้งสองประเภทดังกล่าว รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 575 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเมื่อการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าวเสร็จสิ้น บริษัทในฐานะผู้ซื้อ จะได้รับสิทธิบางประการในการลงทุนเพิ่มเติมใน Red Lobster และ RL LLC ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยสิทธิดังกล่าวไม่มีลักษณะบังคับให้ผู้ซื้อจำต้องใช้สิทธิลงทุนเพิ่มเติมแต่อย่างใด

ธุรกิจของ Red Lobster ประกอบด้วยการดำเนินธุรกิจเครือข่ายร้านอาหาร Red Lobster และธุรกิจสินค้า อุปโภคบริโภคบรรจุ ภัณฑ์ ที่เกี่ยวกับ Red Lobster รวมถึงการให้สิทธิในการประกอบธุรกิจ (Franchise) ร้านอาหาร Red Lobster โดยในช่วงระยะเวลา 12 เดือนก่อนเดือนส.ค.59 Red Lobster มียอดขายประมาณ 2,479 เหรียญสหรัฐ และมี Adjusted EBITDA ประมาณ 144 เหรียญสหรัฐ

สำหรับแหล่งที่มาของเงินลงทุนครั้งนี้ บริษัทจะเข้าทำสัญญากู้ยืมเงินระยะสั้นกับสถาบันการเงินในประเทศ เป็นจำนวนไม่เกิน 2.01 หมื่นล้านบาท โดยเงินกู้ยืมดังกล่าวมีกำหนดระยะเวลาชำระคืนภายใน 6 เดือนนับจากวันที่เข้าทำสัญญากู้ยืมเงิน โดยจำนวนเงินกู้ยืมที่จะได้รับจากสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวจะเพียงพอต่อการเข้าซื้อตราสารภายใต้ธุรกรรมครั้งนี้

ด้านประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากการลงทุนครั้งนี้ เพื่อเป็นการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ไปสู่ภาคธุรกิจใหม่ ได้แก่ การให้บริการร้านอาหารแบบค้าปลีก ทำให้บริษัทสามารถทำตามกลยุทธ์ซึ่งมุ่งไปสู่การเข้าถึงลูกค้าโดยตรง ,ได้รับประโยชน์จากความนิยมในการรับประทานอาหารนอกบ้านของผู้บริโภค ในสหรัฐ ผ่านการลงทุนในบริษัทที่มีความชำนาญในธุรกิจอาหารทะเลเป็นอันดับหนึ่งของทวีปอเมริกาเหนือ และต่อยอดความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับ Red Lobster ซึ่งมีมูลค่ากว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐ และคาดว่า EPS จะเพิ่มขึ้นจากอัตรากำไรสุทธิที่อาจได้รับจาก Red Lobster

ขณะที่เมื่อวานนี้ TU , Red Lobster Seafood Co. และ Golden Gate Capital ร่วมแถลงว่า ไทยยูเนี่ยนได้เข้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน Red Lobster ซึ่งเป็นบริษัทผู้ดำเนินกิจการภัตตาคารอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดย Golden Gate Capital จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และมีอำนาจควบคุมการบริหาร Red Lobster เช่นเดิมต่อไป

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ TU กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้นับได้ว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งในเชิงกลยุทธ์ มุ่งเน้นที่จะเพิ่มช่องทางที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรง และจะทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากทีมผู้บริหาร Red Lobster และ Golden Gate ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมร้านอาหารทะเลอย่างครอบคลุมและกว้างขวาง

"การทำงานร่วมกับ Red Lobster อย่างใกล้ชิดมาเป็นระยะเวลามากกว่าสองทศวรรษ และได้สนับสนุนกลยุทธ์ของ Red Lobster ภายใต้การดำเนินงานของ Golden Gate เรามั่นใจว่าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของไทยยูเนี่ยนจะได้รับประโยชน์จาก Red Lobster ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและประสบความสำเร็จด้วยดีตลอดมา"นายธีรพงศ์ กล่าว

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า Red Lobster เป็นแบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย (Iconic Brand) มีตำแหน่งทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจร้านอาหารทะเล รวมทั้งมีทีมบริหารที่มีความเชี่ยวชาญระดับโลก นอกจากนั้นยังมีผลการดำเนินงานที่ดีนับตั้งแต่ Golden Gate เข้าซื้อกิจการในปี 57

ทั้งนี้ บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้ ระยะยาววงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาท ภายในปีนี้ และใช้เงินกู้สถาบันอีกส่วนหนึ่ง เพื่อใช้คืนเงินกู้ระยะสั้น อายุ 6 เดือนจาก 3 สถาบันการเงิน คือ ธ.กรุงเทพ (BBL) ธ.ไทยพาณิชย์ (SCB) และธ.กรุงศรีอยุธยา (BAY) เพื่อจ่ายเงินลงทุน 49% ใน Red Lobster Seafood Co. คิดเป็นมูลค่า 575 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งแบ่งเป็น ชำระค่าหุ้นสามัญ 230 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 25% และเป็นหุ้นบุริมสิทธิ 345 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 24% ซึ่งมีระยะเวลาแปลงสิทธิเป็นหุ้นสามัญ 10 ปี โดยระหว่างนั้นจะจ่ายผลตอบแทน 8% ต่อปี

ทั้งนี้ หลังการกู้ดังกล่าว อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ของบริษัทจะเพิ่มเป็น 0.91 เท่า จาก 0.7 เท่าในไตรมาส 2/59 โดยมีนโยบายจะควบคุม D/E ไม่เกิน 1 เท่า ขณะที่เงินกู้ของบริษัทมีต้นทุนการเงินเฉลี่ย 3.4% ส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินบาท

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า ธุรกิจร้านอาหารเป็นธุรกิจใหม่ บริษัทมีโอกาสเข้าไปศึกษาทำความเข้าใจธุรกิจมากขึ้น โดย TU ได้ที่นั่งกรรมการใน Red Lobster Seafood Co. จำนวน 2 ที่นั่งซึ่งจะทำให้เรียนรู้งานได้เร็วภายใน 2-3 ปี เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น และจะยังไม่ลงทุนธุรกิจร้านอาหารอื่นอีก ขณะเดียวกัน TU ส่งซัพพลาย ได้แก่ กุ้ง ปู และล็อบสเตอร์ ให้กับร้าน Red Lobster ประมาณ 65 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี เป็นเวลามากว่า 20 ปี

"ถ้าเห็นว่าแนวโน้มธุรกิจดีก็มีโอกาสเข้าลงทุน Red Lobster เพิ่ม เราเห็นว่ามี Positive EBITDA ... ข้อดีของกองทุน เขาซื้อมาเพื่อขาย ไม่ใช่ซื้อมาเพื่อเก็บ ...เรามีโอกาสนำเสนอสินค้าใหม่ ๆ ที่ให้คุณค่าแก่ผู้บริโภค แผนระยะสั้นใน Red Lobster เน้นการทำกำไรให้ดีมากยิ่งขึ้น ส่วนผลตอบแทนจากการลงทุน หวังว่าจะได้ผลตอบแทนที่ดี"นายธีรพงศ์ กล่าว

ร้าน Red Lobster มีสาขามากกว่า 700 สาขาในสหรัฐอเมริกา และแคนาดา ส่วนในเอเชียมีกว่า 50 สาขา ส่วนใหญ่อยู่ใน 24 สาขา 7 สาขาในมาเลเซีย นอกจากนี้มีโอกาสขยายร้านในแถบประเทศ Emerging Market โดยเฉพาะในเอเชีย

ทั้งนี้ ดีลเข้าลงทุน Red Lobster เป็นดีลที่ใหญ่สุดในปีนี้ โดยตั้งแต่ต้นปีมีการเข้าลงทุนร่วมทุน 3 ดีล รวม 73 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นประมาณ 2,555 ล้านบาท

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า TU ยังคงดำเนินกลยุทธ์การซื้อหรือร่วมทุน (M&A) เพื่อขยายธุรกิจ โดยไม่ได้เจาะจงว่าบริษัทที่ไหนเพราะมองการลงทุนทั่วโลก โดยไม่ได้ตั้งงบการทำ M&A แต่บริษัทได้วางงบลงทุนประจำปี จำนวนไม่เกิน 4 พันล้านบาท/ปี

ขณะที่บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่าครึ่งปีแรกจะทำได้ไม่มากนัก ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่รายได้ ครึ่งปีแรกมีสัดส่วน 40-45% ของรายได้ทั้งปี ขณะที่กำไรปีนี้คาดว่าจะดีกว่าปีก่อน เพราะมีมาร์จิ้นดีขึ้น โดยได้มีการปรับราคาขึ้นตามราคาวัตถุดิบ ได้แก่ ราคาแซลมอน ซึ่งปรับตัวลงบ้างแต่ยังคงระดับสูง ประกอบกับ ทำประกันความเสี่ยงค่าเงินทั้งค่าเงินปอนด์ เงินยูโร และเงินดอลลาร์สหรัฐไว้แล้ว โดยในช่วงที่ผ่านมาค่าเงินปอนด์อ่อนค่ามาก หลังจากเกิดผลประชามติอังกฤษแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ทำให้แนวโน้มราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น และค่าเงินยูโรอ่อนตัวเช่นกัน และแนวโน้มปีหน้าค่าเงินยูโร ก็ยังอ่อนค่า โดย TU มีรายได้จากธุรกิจในยุโรปสัดส่วน 30-35% สหรัฐอเมริกา สัดส่วน 30%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ