VTE แจงขายหุ้นเพิ่มทุน PP ให้"ไฮเทคยูทีริตี้"และผู้ก่อตั้ง SCN หาเงินเคลียร์ภาระหนี้-ลงทุนโรงไฟฟ้ามินบู

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 2, 2018 18:14 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายศุภศิษฏ์ โภคินจารุรัศมิ์ กรรมการและกรรมการบริหาร บมจ.วินเทจ วิศวกรรม (VTE) เปิดเผยว่า บริษัทได้ขายหุ้นเพิ่มทุนที่ออกเพื่อจัดสรรให้กับผู้ลงทุนเฉพาะเจาะจง (PP) ให้กับนักลงทุนใหญ่ 2 ราย คือ กลุ่มบริษัท ไฮเทค ยูทีริตี้ จำกัด ผู้นำให้บริการด้านธุรกิจสาธารณูปโภค และนายธัญชาติ กิจพิพิธ ผู้ก่อตั้ง บมจ.สแกน อินเตอร์ (SCN) ซึ่งเป็นนักลงทุนที่มีความรู้ความสามารถทางด้านธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะ มาร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่จะช่วยเสริมสร้าง และให้คำปรึกษาด้านการดำเนินงานบริษัทฯ ให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

อนึ่ง เมื่อวันที่ 19 ม.ค.ที่ผ่านมา VTE แจ้งว่าคณะกรรมการบริษัทมีมติให้ออกหุ้นเพิ่มทุน 460,330,198 หุ้น เพื่อจัดสรรขายให้กับ PP โดยจัดสรรบริษัท โนเบิล เพลนเน็ต พีทีอี แอลทีดี จำนวน 37,775,531 หุ้น และ บริษัท แพลนเน็ต เอนเนอร์ยี่โฮลดิ้ง พีทีอี แอลทีดี จำนวน 75,554,667 หุ้น เพื่อชำระเป็นค่าตอบแทนการซื้อหุ้นของบริษัท พลังงานเพื่อโลกสีเขียว (ประเทศไทย) จำกัด

รวมทั้งจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ Macquarie Bank Limited ตามที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2560 เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2560 จำนวน 47,000,000 หุ้น

นอกจากนั้นยังจะจัดสรรขายให้กับนักลงทุนที่อยู่ระหว่างการเจรจาจำนวน 300,000,000 หุ้น

นายศุภศิษฎ์ กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการเพิ่มทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนไปใช้สำหรับชำระหนี้จากแหล่งเงินกู้ยืมระยะสั้น และนำไปใช้สร้างโรงไฟฟ้ามินบูในประเทศเมียนมา ซึ่งในกรณีที่บริษัทได้รับเงินจากการเพิ่มทุนไม่เพียงพอตามแผนการใช้เงิน บริษัทก็จะจัดหาแหล่งเงินทุนจากเงินกู้ยืมมาทดแทน คาดว่าจะสามารถจัดหาเงินกู้ยืมได้ตามความจำเป็นต่อไป

นายศุภศิษฏ์ กล่าวว่า ปี 60 ที่ผ่านมาบริษัทก้าวข้ามผ่านวิกฤติตั๋วเงินระยะสั้น (B/E) ที่เป็นปัญหาระดับชาติมาได้ด้วยทีมผู้บริหารของบริษัท โดยมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารภายในเพื่อรับมือและแก้ปัญหากับวิกฤติที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ขณะที่การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ถือเป็นการร่วมมือทางยุทธศาสตร์ที่จะทำให้บริษัทเดินตามแผนที่วางไว้ คือ การสร้างโรงไฟฟ้าที่เมียนมาและโครงการอื่นๆ ให้สำเร็จลุล่วง โดยมั่นใจว่าโรงไฟฟ้ามินบูจะสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในช่วงกลางปี 61 ตามคาดการณ์ไว้

ขณะที่การเข้าลงทุนเพิ่มใน GEP อีก 15% จากเดิม 12% จะทำให้ VTE ถือหุ้นใน GEP ทั้งหมด 27% นั้น เนื่องจาก VTE มั่นใจในความแข็งแกร่งของโครงการ และเมื่อโครงการสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าได้นั้น จะทำให้บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากการขายไฟฟ้าและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ชัดเจนให้กับบริษัทฯ ในระยะยาวได้ถึง 30 ปี อย่างแน่นอน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ