(เพิ่มเติม) SUPER เตรียมเข้าลงทุนโซลาร์ฟาร์ม ในเวียดนาม 3 โครงการ กำลังผลิต 136.72 MW มูลค่าราว 4.79 พันลบ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday November 14, 2018 10:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวานนี้ (13 พ.ย.) อนุมัติการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ โดยบริษัทย่อยของบริษัท ที่ประเทศเวียดนาม จำนวน 3 โครงการ ขนาดกำลังการผลิตติดตั้งรวม 136.72 เมกะวัตต์ (MW) มูลค่าลงทุนทั้งหมดไม่เกิน 4,785.2 ล้านบาท

แหล่งเงินทุนที่บริษัทจะใช้ในการเข้าทำรายการ จะมาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทที่มีอยู่ ณ วันที่มีการทำรายการ และ / หรือ เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานะเงินสด สภาพคล่องบริษัท และแผนการใช้กระแสเงินสดของบริษัท ณ วันที่จะมีการทำรายการ ทั้งนี้ กระแสเงินสดที่จะต้องใช้ในการลงทุน จะเป็นไปตามแผนงานการพัฒนาโครงการในแต่ละโครงการ

การเข้าลงทุนครั้งนี้จะเป็นการช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งและศักยภาพในการแข่งขันในการดำเนินธุรกิจ และสร้างรายได้ในอนาคตให้แก่บริษัทได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากประเทศเวียดนามถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพสูงในการพัฒนาพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานจากแสงอาทิตย์และพลังลม และประเทศเวียดนามอยู่ในทิศทางที่มีการเติบโตทางด้านการค้าและอุตสาหกรรม ดังนั้น จึงมีแนวโน้มการใช้พลังงานเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งปัจจุบันรัฐบาลเวียดนามให้ความสำคัญด้านพลังงานทางเลือกและพลังงานทดแทน และตั้งเป้าให้มีการผลิตสูงขึ้น เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ประเทศ

สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทั้ง 3 โครงการ ประกอบด้วย Phan Lam1 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 37.62 เมกะวัตต์ โดย SUPER SOLAR ENERGY (HONGKONG) 1 Co.,Ltd. (SSE-HK1) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จะเข้าลงทุนซื้อหุ้น 100% มีมูลค่าลงทุนไม่เกิน 1,285.2 ล้านบาท , โครงการ Binh An ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 50 เมกะวัตต์ โดย SSE-HK1 จะเข้าลงทุน 100% มีมูลค่าการลงทุนไม่เกิน 1,750 ล้านบาท และโครงการ Sinenergy Ninh Thuan ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 50 เมกะวัตต์ โดย SUPER ENERGY(EAST) PTE LTD (SE(EAST)) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย จะเข้าลงทุน 100% มูลค่าการลงทุนไม่เกิน 1,750 ล้านบาท

ทั้ง 3 โครงการจำหน่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าเวียดนาม Electricity of Vietnam (EVN) มีอัตราการรับซื้อไฟฟ้า 9.35 เซ็นดอลลาร์สหรัฐ/หน่วย มีระยะเวลาสัญญา 20 ปี คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในวันที่ 30 มิ.ย.62 โดยได้กำหนดผลตอบแทนการลงทุนจากเงินลงทุน (EIRR) ขั้นต่ำในแต่ละโครงการไม่น้อยกว่า 13%

นอกจากนี้คณะกรรมการบริษัทยังอนุมัติให้บริษัท ซุปเปอร์ โซล่าร์ เอนเนอร์ยี จำกัด (SSE) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เข้าทำสัญญาซื้อหุ้นในบริษัท พีที ไดร์ว (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท จากผู้ถือหุ้นเดิม (ผู้ขาย) จำนวน 2 ราย โดยมีมูลค่าการเข้าทำรายการทั้งหมดไม่เกิน 6.38 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ SSE เข้าถือหุ้นเพิ่มเป็น 100% จากเดิม 94.99% ขณะที่บริษัทดังกล่าวดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ จำนวน 1 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้ง 5.0 เมกะวัตต์ ซึ่งได้เริ่ม COD แล้ว

นายจอมทรัพย์ โลจายะ ประธานคณะกรรมการ SUPER กล่าวว่า บริษัทคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากการเข้าลงทุนในโครงการดังกล่าวคือ 1.ส่งเสริมนโยบายในการขยายฐานธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนไปยังต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น 2.ช่วยให้บริษัทฯ มีแหล่งรายได้ที่แน่นอนต่อเนื่องเป็นระยะยาว และสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และ 3.ทำให้บริษัทฯมีการเติบโตของทรัพย์สินอย่างต่อเนื่อง

"การเข้าลงทุนของ SSE-HK1 ในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาดกำลังการผลิตตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากว่า 136 เมกะวัตต์ ใน 3 โครงการนั้นจะเป็นจะช่วยเพิ่มรายได้และกำไร โดยทั้ง 3 โครงการข้างต้น มีกำหนดจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) ภายในเดือนมิถุนายน 2562 ซึ่งจะเข้าช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทในช่วงปีหน้า ซึ่งยังไม่นับรวมการขยายการลงทุนที่ในโรงไฟฟ้าพลังงานลมก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นแล้ว SUPER ก็ยังมองหาโอกาสในการซื้อกิจการธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนด้านอื่นๆเพิ่มเติมด้วยในอนาคต " นายจอมทรัพย์กล่าว

ที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าไปศึกษาความเหมาะสมด้านการลงทุน ประเทศฟิลิปปินส์ ,ไต้หวัน ,เกาหลีใต้ เป็นต้น ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม อีก 700 เมกะวัตต์ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาจะทยอย COD ในช่วง 5 ปีข้างหน้า เริ่มตั้งแต่ไตรมาส 3/62 เป็นต้นไป

นายจอมทรัพย์ กล่าวอีกว่า แม้ผลประกอบการในไตรมาส 3/61 มีกำไรสุทธิ 113.37 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 323.21 ล้านบาท เนื่องจากผลมาจากในช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ย.61 ประเทศไทยมีปริมาณฝนมากทั่วประเทศ ซึ่งทำให้ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ผลิตและจำหน่ายได้ของบริษัทลดลงเมื่อเทียบกับรอบระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน

แต่บริษัทยังเชื่อว่าไตรมาส 4/61 ผลประกอบการจะดีขึ้น เพราะมีการเดินเครื่องจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มจากโรงไฟฟ้าขยะ จ.สระแก้ว ขนาดกำลังการผลิต 9 เมกะวัตต์ และโครงการโรงไฟฟ้าสหกรณ์การเกษตร เฟส 2 ขนาดกำลังการผลิต 28 เมกะวัตต์สะสมเพิ่มจากการ COD ได้ในช่วงปลายปีเข้ามาสนับสนุน จึงคาดว่าจะทำให้ผลประกอบการออกมาดีและสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในอนาคตอีกด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ