(เพิ่มเติม) PACE เผย Dean & DeLuca, Inc. ให้สิทธิแฟรนส์ไชส์ Lagardere Travel Retail เปิดร้านในพื้นที่ค้าปลีกสนามบินทั่วโลก

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday December 12, 2018 16:05 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น (PACE) แจ้งว่า Dean & DeLuca, Inc. ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นทางอ้อม 100%ได้เข้าทำสัญญา กับ Lagardere Travel Retail ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมธุรกิจค้าปลีก ร้านค้าปลอดภาษี และการค้าปลีกอื่น ๆ ในสนามบิน สถานีรถไฟ และจุดท่องเที่ยวทั่วโลก (Travel Hub) และไม่เป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงกันของบริษัทฯ

ทั้งนี้ สัญญาดังกล่าวให้สิทธิแฟรนส์ไชส์แก่ Lagardere Travel Retail แต่เพียงผู้เดียว (Exclusive Franchise) ในการเปิดและบริหารจัดการร้านดีน แอนด์ เดลูก้า ในพื้นที่ค้าปลีกภายในสนามบินต่าง ๆ ทั่วโลก (Travel Retails) โดยตั้งเป้าเปิดร้าน ดีน แอนด์ เดลูก้า 150 สาขา ภายในระยะเวลา 5 ปี

นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ PACE เปิดเผยว่า บริษัทวางกลยุทธ์ในการขยายแบรนด์ดีน แอนด์ เดลูก้า โดยการให้สิทธิแฟรนไชส์กับคู้ค่าที่มีเครือข่ายระดับโลก โดยในวันนี้ได้เซ็นสัญญากับ Lagardere Travel Retail ให้เอ็กซ์คลูซีฟแฟรนไชส์เพื่อเปิดร้าน ดีน แอนด์ เดลูก้า ในสนามบิน สถานีรถไฟ และจุดท่องเที่ยวหรือ Travel Hub โดยตั้งเป้าขยาย 150 สาขาภายใน 5 ปี และภายในปี 62 จะเปิดอย่างน้อย 30 สาขา

"คาดการณ์รายได้จากการให้สิทธิแฟรนไชส์กับพาร์ทเนอร์เจ้านี้ประมาณ 600 ล้านบาท โดยจากนี้ไป การหาพาร์ทเนอร์เพื่อให้สิทธิแฟรนไชส์ เราจะโฟกัสไปที่พาร์ทเนอร์ที่มีศักยภาพและมีโลเกชั่นของร้านที่ดี เพราะจากประสบการณ์ของเราโลเกชั่นที่ดีสามารถทำยอดขายและรายได้ได้มากกว่าร้านที่มีจำนวนเยอะ แต่ไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มลุกค้าเป้าหมายได้"นายสรพจน์ กล่าว

ตลาดลูกค้าสนามบิน สถานีรถไฟ และจุดท่องเที่ยวหรือ Travel Hub ถือเป็นตลาดที่มีความพิเศษ เพราะลูกค้าพร้อมจ่าย มีกำลังซื้อสูงและสามารถขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง โดยจากประสบการณ์ ร้านดีน แอนด์ เดลูก้า สาขาสนามบินสุวรรณภูมิ 1 สาขา สามารถทำยอดขายได้กว่า 400,000 บาทต่อวัน เท่ากับรายได้ประมาณ 150 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเป็นรายได้มากกว่าสาขาในเมือง 4-5เท่า

นายสรพจน์ กล่าวว่า จากการทำสัญญาในครั้งนี้ Lagardere Travel Retail จะเปิดอย่างน้อย 150 สาขาภายใน 5 ปี และคาดว่าจะสามารถทำรายได้อย่างน้อยสาขาละ 100 ล้านบาทต่อปี ทำให้ดีน แอนด์ เดลูก้าสามารถรับรู้รายได้จากค่าเก็บสิทธิ Royalty Fee ที่ประมาณ 4 ล้านบาทต่อสาขาต่อปี ซึ่งเมื่อขยายได้ครบ 150 สาขา จะทำให้สามารถเก็บค่าสิทธิหรือ Royalty Fee ได้มากถึง 600 ล้านบาทต่อปี นอกจากนั้นแล้วบริษัทยังสามารถนำสินค้ารีเทล แบรนด์ดีน แอนด์ เดลูก้าไปขายในร้าน Travel Essentials ในโลเกชั่นต่าง ๆ กว่า 2,900 แห่ง ที่ทาง Lagardere Travel Retail มีร้านค้าทั่วโลกอยู่แล้วอีกด้วย

"เรามั่นใจว่า การปรับกลยุทธ์แบรนด์โดยการให้สิทธิแฟรนไชส์กับพาร์ทเนอร์ระดับโลก เช่น Lagardere Travel Retail และพาร์ทเนอร์ที่สนใจรายอื่น ๆ จะทำให้รายได้ ดีน แอนด์ เดลูก้า ในอนาคตเติบโตต่อเนื่องอย่างมีนัยสำคัญผ่านการเก็บค่าสิทธิรวมถึงรายได้จากการขายสินค้าให้กับ franchisee และรายได้ที่เกี่ยวเนื่องในส่วนอื่นเพิ่มอีกด้วย" นายสรพจน์ กล่าว

ปัจจุบัน ดีน แอนด์ เดลูก้า มีสาขาทั่วโลกจำนวนทั้งสิ้น 78 สาขา โดยแบ่งเป็นสาขาที่เป็นแฟรนไชส์ จำนวน 36 สาขา ใน 12 ประเทศ และ PACE เป็นเจ้าของกิจการในสหรัฐอเมริกา จำนวน 6 สาขา ในประเทศไทยจำนวน 12 สาขา และยังถือหุ้น 50% ใน ดีน แอนด์ เดลูก้า แบบคาเฟ่ที่ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 24 สาขา อีกทั้งยังมีแผนขยายสาขาทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง โดยสาขาที่กำลังจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ ได้แก่ สาขา meatpacking ในนครนิวยอร์ก ซึ่งมีกำหนดเปิดให้บริการภายในไตรมาส 1/62


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ