ACG ดีลเลอร์ใหญ่ค่าย"ฮอนด้า"พร้อมเทรด mai 27 มิ.ย.ชูกลยุทธ์ป่าล้อมเมืองขยายโชว์รูม-ศูนย์บริการครอบคลุมทุกภูมิภาค

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday June 25, 2019 13:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ออโตคอร์ป โฮลดิ้ง (ACG) ประกาศความพร้อมนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก 27 มิ.ย.นี้ ภายหลังเปิดจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ในช่วงวันที่ 19-21 มิ.ย.จำนวน 156 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.44 บาท มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท

ACG ประกอบธุรกิจถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยมีบริษัทย่อย คือ บริษัท ฮอนด้ามะลิวัลย์ เป็นบริษัทแกนหลัก ซึ่งประกอบธุรกิจจำหน่ายและศูนย์บริการรถยนต์ยี่ห้อ"ฮอนด้า"ปัจจุบันมีโชว์รูมและศูนย์บริการทั้งหมด 8 แห่งและศูนย์แสดงสินค้าอีก 1 แห่ง รวมทั้งสิ้น 9 แห่ง โดยเป็นผู้ครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดใน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์, บุรีรัมย์, ขอนแก่น, ภูเก็ต และกระบี่

นายภานุมาศ รังคกูลนุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ACG ผู้ก่อตั้งบริษัทตั้งแต่ปี 2535 ให้สัมภาษณ์กับ"อินโฟเควสท์"ว่า การระดมทุนผ่านการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปใช้ตามแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 6 แห่งภายในปี 65 ซึ่งจะทำให้มีสาขาและศูนย์บริการรวมกันทั้งสิ้น 15 สาขาครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันรายได้จากการขายรถยนต์และอุปกรณ์ตกแต่ง รายได้จากส่วนบริการซ่อมและจำหน่ายอะไหล่ ค่านายหน้าจากการนำเสนอบริการสินเชื่อเช่าซื้อและประกันภัยรถยนต์ให้เพิ่มขึ้น

"บริษัทก่อตั้งเมื่อปี 2535 เราผ่านวิกฤตต้มยำกุ้งมาแล้ว ทำให้ได้เรียนรู้และแก้ไขในทุกๆมิติจนประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ ในอนาคตอุตสาหกรรมรถยนต์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แต่เชื่อว่านโยบายรัฐบาลยังคงให้ความสำคัญและส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ต่อไป ส่วนแนวทางบริหารจัดการภายใน เรามีความเชื่อว่าถ้าองค์กรมีแนวทางกำกับดูแลกิจการที่ดี และแผนขยายสาขา ACG ครอบคลุมทุกภูมิภาคอย่างที่เราตั้งเป้าหมาย จะผลักดันศักยภาพการทำกำไรดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต"นายภานุมาศ กล่าว

บริษัทเชื่อมั่นว่าทิศทางผลประกอบการสามารถเติบโตในระยะยาวตามความต้องการรถยนต์"ฮอนด้า"ที่ได้รับความนิยมในไทยและเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก แม้ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ภายในประเทศยังไม่เห็นสัญญาณเติบโตโดดเด่นเหมือนอย่างในอดีต แต่จากแผนการขยายศูนย์บริการครอบคลุมครบทุกภูมิภาค ทำให้เกิด Economy of Scale หรือการประหยัดเนื่องมาจากขนาด โดยรายได้จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนสาขา สวนทางกับต้นทุนค่าใช้จ่ายบริหารจัดการที่ต่ำลง โดยเฉพาะการที่บริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างโชว์รูมและศูนย์ซ่อมบริการทำให้สามารถควบคุมต้นทุนค่าก่อสร้างได้ดี ทั้งหมดเป็นปัจจัยสนับสนุนกำไรในระยะยาว

สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 62 ทางค่าย"ฮอนด้า"ประเมินว่าจะเติบโต 5% เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศที่ดีขึ้น และมีการเปิดตัวรถรุ่นใหม่รองรับความต้องการของลูกค้า โดยในปี 61 ตลาดรถยนต์ในประเทศมียอดขาย 1,041,739 คัน สูงสุดในรอบ 5 ปี ขณะที่เป็นยอดขายรถยนต์ฮอนด้า 128,290 คัน ซึ่งกลุ่ม ACG มีจำนวนสาขาโชว์รูมของฮอนด้าในไทยมากที่สุด ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของกลุ่ม ACG ของจำนวนรถยนต์ฮอนด้าที่ขายได้ทั้งหมดในประเทศ คิดเป็น 1.63% ในปี 60 และ 2.03% ในปี 61 ขณะที่ช่วง 3 เดือนแรกของปี 62 อยู่ที่ 2.86%

"ACG เป็นบริษัทดีลเลอร์รถยนต์รายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แสดงถึงความตั้งใจและมุ่งมั่นของผู้บริหารและทีมงานของบริษัทที่ต้องการขยายธุรกิจให้มีความยั่งยืน และที่สำคัญคือภายหลังจากไอพีโอไปแล้วกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่คือครอบครัวผมจะถือหุ้นทั้งหมด 74% โครงสร้างถือหุ้นเช่นนี้สะท้อนว่าการบริหารงานได้คล่องตัว"นายภานุมาศ กล่าว

ด้าน นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ สายงานวาณิชธนกิจ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) และผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ACG เปิดเผยว่า ภายหลังจากเปิดจองซื้อหุ้น IPO ได้รับการตอบรับที่ดีทั้งจากนักลงทุนสถาบันและรายย่อย ทำให้มียอดจองซื้อหุ้น IPO เข้ามาเต็มทั้งจำนวน สะท้อนถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อธุรกิจของ ACG

นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีศักยภาพการเติบโตในอนาคตแล้ว การกำหนดราคาถือเป็นส่วนหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจ โดยระดับราคา 1.44 บาทต่อหุ้นเทียบเป็นค่า P/E Ratio ที่ระดับ 18.70 เท่า โดยที่ไม่มีบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจเดียวกันมาเปรียบเทียบ แต่เป็นการนำไปเทียบกับค่า P/E ของตลาด mai ที่อยู่ในระดับสูงกว่า 46 เท่า

"เราไม่กังวลว่าภาวะตลาดหุ้นไทยที่ผันผวนจะกระทบกับหุ้นไอพีโอ ACG เพราะปัจจัยพื้นฐานที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว และผู้บริหาร ACG มีประสบการณ์ในธุรกิจนี้มากกว่า 25 ปี ยังรักษาผลประกอบการให้มีกำไรต่อเนื่องทุกปี นอกเหนือจากการขายรถยนต์ฮอนด้าแล้ว บริษัทยังมีรายได้จากธุรกิจซ่อมบำรุงและจำหน่ายอะไหล่ และธุรกิจนายหน้าเนะนำบริษัทไฟแนนซ์และบริษัทประกันภัยให้ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ ซึ่งรายได้ค่านายหน้าเติบโตทุกปีจากปริมาณการขายรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทมีนโยบายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ทำให้เชื่อว่าหุ้น ACG จะเป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนภายหลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯแล้ว"นายวิชา กล่าว

https://youtu.be/nLjM2bKKLbw


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ