PLANET เร่งสปีดองค์กรโต้คลื่น"Disruption"ชูโมเดล"ธุรกิจอนาคต"พลิกโฉมเติบโตรอบใหม่

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday August 13, 2019 10:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

จุดเริ่มต้น บมจ.แพลนเน็ต คอมมิวนิเคชั่น เอเชีย (PLANET) ก่อตั้งมาแล้วกว่า 25 ปี เป็นผู้ประกอบธุรกิจ "Telecom Technology Provider" มีความชำนาญด้านการให้บริการด้านเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมและดิจิทัลทีวี เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีด้านระบบสื่อสารโทรคมนาคมและระบบถ่ายทอดสัญญาณโทรทัศน์ ผลิตภัณฑ์ภายใต้ชื่อ "PlanetComm" เป็นต้น

PLANET ชื่อย่อเดิมคือ PCA เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ตั้งแต่วันที่ 23 มิ.ย.57 ผลประกอบการในปี 59 บริษัทขาดทุนสุทธิ 24.72 ล้านบาท และปี 60 ขาดทุนสุทธิ 31.62 ล้านบาท ก่อนจะเริ่มกลับมามีกำไรสุทธิในปี 61 ที่ 5.88 ล้านบาท และไตรมาส 1/62 มีกำไรสุทธิ 1.92 ล้านบาท

*เร่งปรับองค์กร ฝ่ากระแสคลื่น "Disruption"

นายประพัฒน์ รัฐเลิศกานต์ ประธานกรรมการบริหาร PLANET เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า วันนี้คลื่น Disruption เข้ามากระทบธุรกิจในฐานะผู้ให้บริการและจำหน่ายสินค้าด้านเทเลคอมเทคโนโลยี เป็นผลกระทบต่อจากคลื่น Disruption ที่เคยเข้ามาในธุรกิจ Media ทำให้ความต้องการใช้สินค้าของบริษัทหดตัวอย่างมีนัยสำคัญตามยุคเปลี่ยนผ่าน ประกอบกับการเข้ามาของ Cloud Service ทำให้หลายองค์กรขนาดใหญ่ลดการซื้อสินค้าฮาร์ดแวร์ เปลี่ยนมาใช้ในรูปแบบการเช่าระบบและจ่ายเป็นค่าบริการแทน สร้างผลกระทบให้กับธุรกิจของบริษัทที่มุ่งเน้นไปเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าด้านเทเลคอมเทคโนโลยี

นอกเหนือจาก Cloud Service ที่เข้ามาแล้ว บริษัทต้องรับมือกับเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาเปลี่ยนระบบขององค์กรในอนาคต นั่นคือ Internet of Things (IoT) หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สื่อสารแบบเดียวกับอินเตอร์เน็ตที่จะช่วยให้ชีวิตประจำวันมีความสะดวกและง่ายขึ้น, Artificial Intelligence (AI) หรือ ปัญญาประดิษฐ์,และระบบ 5G สื่อสารไร้สายยุคถัดจาก 4G ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงข่ายรวดเร็ว เป็นโจทย์ให้บริษัทต้องปรับโมเดลธุรกิจให้สอดรับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขององค์กรและผู้บริโภคในระยะถัดไป

"ที่ผ่านมายอมรับว่านอกจากผลกระทบที่ตั้งสำรองค่าใช้จ่ายของกล่องรับสัญญาณทีวีดิจิทัล (Set Top Box) แล้ว เราก็ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนพฤติกรรมขององค์กรที่กำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี ทำให้สินค้าของบริษัทไม่ได้เติบโตอย่างที่คิดไว้ แต่ในช่วง 2 ปีมานี้ เราได้เตรียมแผน "Future Business" ไว้รองรับการเปลี่ยนแปลงแล้ว ถ้าหากภายในสิ้นปีนี้เป็นรูปธรรมขึ้นมา เชื่อว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดอีกขั้นหนึ่งของบริษัท"นายประพัฒน์ กล่าว

*ชูโมเดล "Future Business" พลิกโฉมเติบโตรอบใหม่

นายประพัฒน์ กล่าวว่า "Future Business" ที่บริษัทเตรียมไว้เพื่อพร้อมรับมือกับผลกระทบของ Disruption และเพื่อสร้างการเติบโตรอบถัดไป แบ่งเป็น "Mature Business" เป็นธุรกิจด้านให้บริการโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคม โดยธุรกิจดังกล่าวจะเห็นการเติบโตไม่หวือหวา แต่มีข้อดีคือยังมีความจำเป็นต้องใช้ และรองรับการเทคโนโลยี 5G ที่กำลังเข้ามาในอนาคต

ส่วน "Growth Business" จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมโมเดลธุรกิจบริษัท เนื่องจากเป็นสินค้าเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรมตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าองค์กรและเปลี่ยนแปลงพฤตกรรมของผู้บริโภค ที่สำคัญคือช่วยผลักดันผลประกอบการเติบโตก้าวกระโดด แบ่งเป็น Smart Office ที่นำเทคโนโลยี Cloud Office เข้ามาใช้กับระบบ Video conference ที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ หรือระบบโทรศัพท์ใช้ภายในองค์กร ซึ่งปัจจุบันลูกค้าเปลี่ยนพฤติกรรมจากซื้อสินค้ามาเปลี่ยนเป็นเช่าและให้บริการรายเดือน/รายปีแทน เช่น จากเดิมที่เคยใช้ Hardware หรือ Server Room ก็ไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไป เป็นต้น

"ปัจจุบันบริษัทได้เริ่มไปพอสมควรแล้วกับ Cloud Office ที่ผ่านมาพบว่ามีกระแสความสนใจจากสถาบันการเงินเข้ามาติดต่อขอใช้ในส่วนของ CCTV เพราะสามารถส่งภาพและข้อมูลมายังส่วนกลางได้ทันที และข้อดีคือส่วนกลางสามารถสะสมบิ๊กดาต้าเพื่อมาใช้วิเคราะห์การเข้าใช้บริการลูกค้า หรือแผนธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ"นายประพัฒน์ กล่าว

และ ล่าสุด บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาสินค้าประเภท Telemedicine หรือเครื่องมือรักษาทางไกล สามารถใช้ประโยชน์ในธุรกิจการแพทย์ได้ในอนาคต ซึ่งมีมูลค่าตลาดใหญ่มาก เพราะเป็นโยบายสนับสนุนทางภาครัฐ ทั้งนี้ คาดว่าจะเห็นความชัดเจนและเปิดตัวสินค้าประเภทนี้อย่างเป็นทางการได้ภายในสิ้นปีนี้

นอกจากนั้น บริษัทเตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดคล้องกับการพัฒนา Smart City เป็นลักษณะเสารวบรวมการให้บริการหลายประเภท ภายใต้ชื่อ Smart Pole เช่น เครื่องมือตรวจวัดสภาพภูมิอากาศ เครื่องมือตรวจค่าความเข้มข้นของฝุ่น ระบบสัญญาณโทรศัพท์ และที่ชาร์ทรถยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นต้น โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอยู่ระหว่างนำเสนอให้กับพันธมิตรและองค์กรภาครัฐ เบื้องต้นจะนำไปให้บริการในพื้นที่หัวเมืองท่องเที่ยว หากมีความชัดเจนจะสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้อีกทางหนึ่ง

*กลยุทธ์ 3-5 ปี ปั้นพอร์ตธุรกิจสร้างรายได้ประจำ

นาประพัฒน์ กล่าวอีกว่า สำหรับแผน 3-5 ปีข้างหน้า มองว่าโครงสร้างรายได้จะปรับเปลี่ยนไปเนื่องจากมีธุรกิจให้บริการเข้ามา หนุนให้สัดส่วนโครงสร้างธุรกิจสร้างรายได้ประจำ (Recurring income) ขึ้นเป็น 50% จากเดิมพึ่งพิงธุรกิจจำหน่ายสินค้าเป็นหลัก เนื่องจากพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีของลูกค้าและองค์กรเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

ทั้งนี้ ถ้าเป็นไปตามคาดศักยภาพทำกำไรของบริษัทจะกลับมาดีขึ้น เพราะธุรกิจให้บริการมีอัตรากำไรขึ้นต้นไม่ต่ำกว่า 30% แตกต่างกับธุรกิจเทรดดิ้งที่อยู่ระดับ 10-15% ดังนั้นถ้ารวมกันแล้วเฉลี่ยอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นมาเป็น 25-30% ในอนาคต

*เชื่อมั่นปีนี้มีกำไร-ลุ้นปันผลครั้งแรกรอบ 3 ปี

นายประพัฒน์ ตอกย้ำถึงภาพรวมผลประกอบการปีนี้ มีความมั่นใจว่าสามารถมีกำไร และมีโอกาสจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี เชื่อว่าทิศทางรายได้จะเติบโตตามเป้า 20% แม้ว่าผลการดำเนินงานในครึ่งแรกอาจไม่สดใสนัก ส่วนหนึ่งได้รับผลกระทบจากการตั้งสำรองตามกฎหมายแรงงานฉบับใหม่ และที่ผ่านมาบริษัทได้ตั้งสำรองหนี้เสียและสินค้าค้างสต็อกผลกระทบในส่วนของสินค้า Set Top Box ไปหมดแล้ว เชื่อว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง ตามการรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ที่มีกว่า 400 ล้านบาท และหากธุรกิจที่เป็น "Future Business" มีความชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรม จากล่าสุดอยู่ระหว่างทดสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เชื่อว่าน่าจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญอีกครั้ง

"เรายอมรับว่าที่ผ่านมาโดนผลกระทบจาก Disruption ทำให้การเติบโตไม่ได้อย่างที่คิด แต่ธุรกิจใหม่ที่เรานำเข้ามาเสริมมองว่าเข้ามาได้ทันเวลา เพราะเตรียมตัวมาแล้ว 2 ปี นับว่าเทคโนโลยีที่กำลังจะเข้ามาครั้งนี้ ก็ถือว่าเราเป็นลีดเดอร์ ทำให้ครั้งนี้เราจะไป Disruption คนอื่น ผลิตภัณฑ์ที่เราจะนำมานั้น ความต้องการในตลาดมีมูลค่าสูง การเปลี่ยนครั้งนี้ของเราต้องโตแบบก้าวกระโดด"นายประพัฒน์ กล่าว

https://youtu.be/WnX2OqVZi-0


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ