(เพิ่มเติม) ORI เผย "บริทาเนีย" ยื่นไฟลิ่งเตรียมเสนอขาย IPO 252.65 ล้านหุ้น เล็งระดมทุนใชัขยายธุรกิจ-คืนหนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday July 30, 2021 18:15 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 บมจ.บริทาเนีย (BRI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ BRI จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 252,650,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 29.6 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยจะเข้าซื้อขายในตลาด SET หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

บล.กสิกรไทย และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

โดยภายใต้แผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) นี้ BRI จะออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป และผู้ลงทุนประเภทอื่น ๆ รวมทั้งเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ ซึ่งมีหุ้นที่จัดสรรไว้รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของ BRIและ/หรือ บริษัทย่อยของ BRI (ESOP Warrant) รวมทั้งหมดคิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 30 ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของ BRI ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และการใช้สิทธิ ESOP Warrant (ภายใต้สมมติฐานว่ามีการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนและการใช้ตามใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งจำนวน)

ในการนี้ภายใต้แผนการ Spin-Off BRI มีแผนการในการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป และผู้ลงทุนประเภทอื่น ๆ ซึ่งรวมถึง ผู้ถือหุ้นสามัญของบริษัทฯ เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น (Pre-emptive Offering)และการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนและใบสำคัญแสดงสิทธิให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือ พนักงานของ BRI และ/หรือ บริษัทย่อยของ BRI ซึ่งในรายละเอียดจะได้มีการกำหนดต่อไป

นอกจากนี้จะมีการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนบางส่วนให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัทฯ และ/หรือ บริษัทย่อยของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 13,470,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท

โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และบริษัทฯ จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน BRI ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของทุนชำระแล้วของ BRI ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และการใช้สิทธิ ESOP Warrant (ภายใต้สมมติฐานว่ามีการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนและการใช้ตามใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งจำนวน) โดย BRIจะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เช่นเดิมต่อไป

ในเบื้องต้น BRI มีวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการและ/หรือ การขยายธุรกิจและ/หรือ เพื่อชำระเงินกู้ยืม และ/หรือ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี

บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) (เดิมชื่อว่า บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด) ก่อตั้งขึ้นโดย ORI ซึ่ง มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทฯ คิดเป็นร้อยละ 99.99 โดยบริษัทฯ ถือเป็นบริษัทแกนนำหลัก (Flagship Company) ของกลุ่ม ORI ทั้งนี้ ในการดำเนินธุรกิจเพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบในประเทศไทยภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ซึ่งแบ่งตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและรูปแบบของโครงการ ได้แก่ (1) แบรนด์ "เบลกราเวีย" (2) แบรนด์ "แกรนด์ บริทาเนีย" (3) แบรนด์ "บริทาเนีย" และ (4) แบรนด์ "ไบรตัน" ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เนื่องจากบริษัทฯ มีความโดดเด่นด้านการออกแบบบ้าน พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน รูปแบบโครงการ และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างแท้จริง

ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ สามารถปิดโครงการแล้ว จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 2,028 ล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 17,550 ล้านบาท โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 7,000 ล้านบาท และโครงการในอนาคต จำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท

ณ วันที่ 29 กรกฏาคม 2564 โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทฯ ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้แก่ ORI ถือ 100% หลังขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนและใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิ จะลดเหลือ 70%

บริษัทฯ มีรายได้รวมในปี 2561 - 2563 จำนวน 515.47 ล้านบาท 1,561.01 ล้านบาท และ 2,342.09 ล้านบาท และในงวด 3 เดือนแรกของปี 2563 และ ปี 2564 จำนวน 541.02 ล้านบาท และ 835.77 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตอย่างต่อเนื่องในแต่ละปีตามแผนการขยายโครงการของบริษัทฯ โดยคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (Compound Annual Growth Rate: CAGR) ในปี 2561 ? 2563 อยู่ที่ร้อยละ 113.16 ต่อปี

ส่วนกำไรสุทธิ ในปี 2561 - 2563 จำนวน 71.65 ล้านบาท 207.14 ล้านบาท และ 348.72 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 13.90 ร้อยละ 13.27 และร้อยละ 14.89 จากรายได้รวม ตามลำดับ

สำหรับงวด 3 เดือนแรกของปี 2563 และปี 2564 กำไรสุทธิของบริษัทฯ อยู่ที่จำนวน 87.33 ล้านบาท และ 130.68 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 16.14 และร้อยละ 15.64 จากรายได้รวม ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นตามแผนขยายโครงการ ซึ่งเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์รายไตรมาสที่สูงที่สุดตั้งแต่เริ่มมีการรับรู้รายได้ของบริษัทฯ ทั้งนี้ อัตรากำไรสุทธิลดลงเล็กน้อย สาเหตุหลักจากบริษัทฯ ทำการปรับกลยุทธ์เพื่อให้ราคาอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับบริษัทคู่แข่งได้ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19

ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมจำนวน 7,577.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 542.97 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.72 จาก ณ สิ้นปี 2563 มีหนี้สินรวมจำนวน 6,519.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 412.14 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.75 จาก ณ สิ้นปี 2563 และส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ มีจำนวน 1,058.83 ล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ