สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (15 เม.ย.) เนื่องจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่เป็นบวกของสหรัฐได้ช่วยให้นักลงทุนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับการฟื้นตัวของสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันมากที่สุดในโลก
สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนพ.ค.ปรับตัวขึ้น 1.55 ดอลลาร์ หรือ 1.43% ปิดที่ 109.66 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาน้ำมันฮีทติ้งออยล์เดือนพ.ค.บวก 3.52 เซนต์ ปิดที่ 3.2242 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้น 5.45 เซนต์ ปิดที่ 3.2892 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอนส่งมอบเดือนมิ.ย.ดีดขึ้น 1.45 ดอลลาร์ หรือ 1.19% ปิดที่ 123.45 ดอลลาร์/บาร์เรล
ทั้งนี้ ตลอดทั้งสัปดาห์ ตลาดน้ำมันปกคลุมด้วยความวิตกกังวลที่ว่าราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นจะขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและความต้องการน้ำมันทั่วโลก ซึ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบร่วงลง
อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นในวันศุกร์ หลังจากที่รอยเตอร์/มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐช่วงต้นเดือนเม.ย. อยู่ที่ 69.6 ซึ่งสูงกว่าระดับคาดการณ์และเพิ่มขึ้นจากระดับ 67.5 ในช่วงปลายเดือนมี.ค. ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังคงมีความเชื่อมันในแนวโน้มเศรษฐกิจ และบ่งชี้ว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนมีนาคม โดยมีสาเหตุหลักมาจากราคาอาหารและน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ดี CPI พื้นฐานที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ขยับขึ้นเพียง 0.1% ซึ่งน้อยกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%
ทั้งนี้ นักลงทุนวิตกกังวลว่าราคาพลังงานและอาหารที่สูงขึ้นจะทำให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่าย และทำให้ต้นทุนของภาคธุรกิจเพิ่มสูง ขณะเดียวกันก็จะบีบให้ธนาคารกลางสหรัฐต้องคุมเข้มนโยบายการเงินเร็วกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ ซึ่งจะส่งผลสืบเนื่องให้การขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นไปอย่างชะลอตัว อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและข้อมูลภาคการผลิตล่าสุดได้ช่วยบรรเทาความหวั่นเกรงดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานการผลิตในภาคอุตสาหกรรม พุ่งขึ้นเกินคาด 0.8% ในเดือนมี.ค. หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนก.พ. โดยอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐส่งสัญญาณแข็งแกร่งนับตั้งแต่เศรษฐกิจสหรัฐเริ่มฟื้นตัวจากภาวะถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปีที่แล้ว และตลาดมองว่าความเสี่ยงระยะใกล้ต่อการฟื้นตัวในภาคอุตสาหกรรมยังคงมีไม่มาก
นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กเปิดเผยดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม (Empire State Index) ทะยานขึ้นจากระดับ 17.50 ในเดือนมี.ค. มาอยู่ที่ระดับ 21.7 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบหนึ่งปี