สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) เดือนเม.ย. ซึ่งมีการซื้อขายทางระบบอิเล็กทรอนิก ปรับตัวขึ้นสูงสุด 88 เซนต์ แตะที่ 107.43 ดอลลาร์/บาร์เรล ณ เวลา 10.52 น.ตามเวลาลอนดอน หลังเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจสหรัฐส่งสัญญาณฟื้นตัว ขณะที่สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างอิหร่านกับโลกตะวันตก ก่อให้เกิดความกังวลเรื่องอุปทานน้ำมัน
คอนเฟอเรนซ์ บอร์ด ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยระดับโลกรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีที่ 70.8 จุด จากระดับของเดือนม.ค.ที่ผ่านการทบทวนแล้วที่ระดับ 61.5 จุด เนื่องจากผู้บริโภคมีมุมมองที่เป็นบวกต่อสภาวะธุรกิจและตลาดแรงงานมากกว่าในเดือนม.ค. รวมถึงสถานการณ์ด้านการเงินของผู้บริโภค
ขณะเดียวกันญี่ปุ่นเปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.0% ในเดือนมกราคมเมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5% และเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และเกาหลีใต้เปิดเผยว่าผลผลิตอุตสาหกรรมทะยาน 3.3%
นอกจากเศรษฐกิจโลกที่ส่งสัญญาณดีขึ้นแล้ว อีกปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นคือสถานการณ์ระหว่างอิหร่านกับโลกตะวันตก โดยอิหร่านขู่ว่าจะปิดช่องแคบฮอร์มุซซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันดิบสายหลักของโลก ขณะที่รัฐบาลสหรัฐกำลังหารือกับสำนักงานพลังงานสากล (IEA) เนื่องจากสหรัฐพิจารณาว่าจะใช้น้ำมันในคลังยุทธภัณฑ์สำรอง (Strategic Petroleum Reserve - SPR) เพราะเกรงว่าอิหร่านอาจขัดขวางการขนส่งน้ำมัน ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันโลกสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาดูรายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 24 ก.พ. ซึ่งสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยในคืนนี้ตามเวลาไทย โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 100,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินจะเพิ่มขึ้น 800,000 บาร์เรล และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันจะทรงตัวที่ 85.5%
ทั้งนี้ เมื่อวานนี้สัญญาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 2.01 ดอลลาร์ หรือ 1.85% ปิดที่ 106.55 จุด ซึ่งเป็นระดับปิดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ และร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม