สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมิ.ย.ลดลง 54 เซนต์ หรือ 0.56% ปิดที่ 95.62 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ที่ตลาดลอนดอน ร่วงลง 1.06 ดอลลาร์ หรือ 1.0% ปิดที่ 104.4 ดอลลาร์/บาร์เรล
นักลงทุนเทขายสัญญาน้ำมันดิบพร้อมกับจับตาดูสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 3 พ.ค.ในวันพุธนี้ โดยมีการคาดการณ์ว่า สต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้น 1.8 ล้านบาร์เรล สต็อกน้ำมันกลั่นจะเพิ่มขึ้น 650,000 บาร์เรล สต็อกน้ำมันเบนซินอาจเพิ่มขึ้น 450,000 บาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้น 0.6%
ส่วนในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 26 เม.ย.ที่ผ่านมานั้น สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐพุ่งขึ้น 6.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 395.3 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าสต็อกน้ำมันดิบจะเพิ่มขึ้นเพียง 950,000 บาร์เรล
ขณะที่สต็อกน้ำมันกลั่นเพิ่มขึ้น 474,000 บาร์เรล แตะที่ 115.8 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 250,000 บาร์เรล ส่วนสต็อกน้ำมันเบนซินร่วงลง 1.82 ล้านบาร์เรล แตะที่ 216 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่คาดว่าจะลดลงเพียง 450,000 บาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มขึ้น 0.9% แตะที่ 84.4% มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.8%
อย่างไรก็ตาม สัญญาน้ำมันดิบ WTI ขยับลงในกรอบที่จำกัด เนื่องจากตลาดได้รับแรงหนุนหลังจากธนาคารกลางออสเตรเลียประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจภายในประเทศได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียและแนวโน้มที่มีความผันผวนมากขึ้นของเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนหลังจากนายมาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) กล่าวว่า อีซีบีพร้อมที่จะใช้มาตรการเพิ่มเติมหากจำเป็น เพื่อสกัดภาวะถดถอยของเศรษฐกิจยุโรป หลังจากที่อีซีบีได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 0.5% ในการประชุมครั้งล่าสุด