สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งสูงขึ้นเมื่อคืนนี้ (4 พ.ค.) เนื่องจากมีสัญญาณบ่งชี้เรื่องความต้องการด้านพลังงานที่สูงขึ้นในจีน ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันมากเป็นอันดับ 2 ของโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้นสูงกว่าระดับ 54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ความวิตกกังวลเรื่องการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการแพร่กระจายของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันไม่สามารถดีดตัวสูงขึ้นมากไปกว่านี้
สำนักข่าวเอพีรายงานว่า สัญญาน้ำมันดิบตลาด NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนมิ.ย.ดีดตัวขึ้น 1.27 ดอลลาร์ ปิดที่ 54.47 ดอลลาร์/บาร์เรล
ขณะที่สัญญาราคาน้ำมันฮีทติ้งออยล์ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 4.16 เซนต์ ปิดที่ 1.4345 ดอลลาร์/แกลลอน และสัญญาน้ำมันเบนซินส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 6.86 เซนต์ ปิดที่ 1.586 ดอลลาร์/แกลลอน
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ตลาด ICE กรุงลอนดอน ส่งมอบเดือนมิ.ย.เพิ่มขึ้น 1.73 ดอลลาร์ปิดที่ 54.58 ดอลลาร์/บาร์เรล
ในช่วงฤดูร้อนของปีที่แล้ว ความต้องการน้ำมันที่พุ่งขึ้นในประเทศต่างๆ เช่น จีนและอินเดียส่งผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน โดยฟิล ฟลินน์ นักวิเคราะห์จากอลารอน เทรดดิ้ง คอร์ป กล่าวว่า ตอนนี้ไม่มีปัจจัยใดที่เป็นบวกต่อตลาดน้ำมันมากเท่ากับเรื่องการขยายตัวของธุรกิจการผลิตในจีน
ซีแอลเอสเอ เอเชีย-แปซิฟิค มาร์เก็ตส์ เปิดเผยว่า ภาคการผลิตของจีนกลับมาขยายตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน หลังจากที่การลงทุนพุ่งสูงขึ้น และยอดการส่งออกที่ชะลอตัวลงนั้นเริ่มจะดีขึ้นแล้ว
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ซึ่งจัดทำโดย CLSA ปรับตัวขึ้นแตะ 50.1 จุดในเดือนเม.ย. จากระดับมี.ค.ที่ 44.8 จุด ซึ่งตัวเลขที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ถึงการขยายตัว ซึ่งถือเป็นการขยายตัวในภาคการผลิตเป็นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน
สำหรับภายในสหรัฐเองนั้น ชาวอเมริกันขับขี่รถกันร้อยลงกว่าปีที่แล้ว และล่าสุดก็มีความหวั่นวิตกว่า การระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่อาจจะส่งผลกระทบต่อการเดินทาง และอาจจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคาเชื้อเพลังได้
ทั้งนี้ ราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินของสหรัฐถูกลงกว่าเดิมเกือบ 43% เมื่อเทียบกับเดือนพ.ค.ปีที่แล้ว ส่วนแก็สธรรมชาติก็มีราคาอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดในรอบ 7 ปี