แนวโน้มราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้นในระยะยาวนั้นอาจใกล้ถึงจุดอิ่มตัว เนื่องจากอัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นและการคุมเข้มด้านการปล่อยสินเชื่อภาคธนาคารจะกดดันให้ราคาสินทรัพย์ปรับตัวลดลง
พอล วอล์กเกอร์ ซีอีโอบริษัทวิจัย GFMS เชื่อว่าราคาทองคำจะไม่พุ่งสูงไปจากจุดพื้นฐานของตลาดทองคำมากนัก "ส่วนตัวแล้วผมคิดว่าตลาดทองคำจะยังมีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า"
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ในปีนี้ ราคาทองคำทะยานขึ้นแล้ว 8.7% เนื่องจากนักลงทุนต้องการซื้อเพื่อเก็งกำไรและใช้เป็นแหล่งลงทุนทางเลือก หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรปได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยพร้อมทั้งกระตุ้นสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจด้วยการซื้อพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ภาคเอกชน
ด้านมาร์ก ฟาเบอร์ นักลงทุนชื่อดังกล่าวว่า ตนจะยังคงเดินหน้าซื้อทองคำต่อไปเพราะคาดว่าในอนาคตเศรษฐกิจสหรัฐจะเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อรุนแรงหรือ hyperinflation
"ผมคาดว่าในอนาคตมูลค่าสินทรัพย์จะลดลงและการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ซบเซาจะลากยาวไปอีกปีกว่า ซึ่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มูลค่าการลงทุนในตลาดทองคำจะเริ่มลดความน่าสนใจลง" วอล์กเกอร์เสริมทั้งนี้ ณ เวลา 13:50 น.ตามเวลาโตเกียว ราคาทองคำขยับขึ้น 0.5% แตะที่ 959.16 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่สัญญาโลหะมีค่าพุ่งแตะระดับสูงสุดที่ 1,032.70 ดอลลาร์/ออนซ์ในวันที่ 17 มี.ค.2552