ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในกลุ่มน้ำมันและทองแดงไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ หลังรัฐบาลทั่วโลกใช้มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายซึ่งช่วยหนุนการฟื้นตัวของอุปสงค์ ขณะที่บริษัทหลายแห่งปรับลดการลงทุนในธุรกิจเหมืองแร่และแท่นขุดเจาะน้ำมัน
ไซมอน เกรนเฟลล์ หัวหน้าฝ่ายตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ของดอยช์แบงก์ เอจีกล่าวว่า "ปัจจัยหนุนที่มีอยู่ในตลาดได้กระตุ้นทิศทางความเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ให้ปรับตัวสูงขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะเดียวกันก็มองว่าความเสี่ยงที่ราคาจะพุ่งกระฉูดก็มีความขึ้นด้วยเช่นกัน"
นอกจากนี้ เกรนเฟลล์ชี้ว่า อุปสงค์สินค้าโภคภัณฑ์ยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนในกลุ่มกองทุนเพื่อความมั่งคั่งและกองทุนบำนาญไปจนถึงผู้จัดการสินทรัพย์ต่างเพิ่มสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ในตลาดดังกล่าวมากขึ้น
บลูมเบิร์กรายงานว่า ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทะยานขึ้น 15% ในปีนี้ หลังจากที่ตกลง 36% ในปี 2551 ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำ โดยในปีนี้ ราคาน้ำมันเบนซินและทองแดงเพิ่มขึ้น 2 เท่าหลังมีสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และจีนเองก็มีน้ำมันสำรองและสินค้าประเภทโลหะมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.5% ในปี 2553 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในระดับ 1.9% ในเดือนเม.ย. หลังหดตัวลง 1.4% ในปีนี้ โดยเศรษฐกิจจีนขยายตัวได้ 7.9% ในไตรมาส 2 ทำสถิติขยายตัวได้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี
จิม โรเจอร์ส ประธานบริษัทโรเจอร์ส โฮลดิ้งในสิงคโปร์กล่าวว่า "สิ่งเดียวที่สร้างความมั่นคงให้แก่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจโลกคือสินค้าโภคภัณฑ์"
โดยในปีนี้ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ไต่ระดับขึ้นแล้ว 61% แตะที่ 71.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ขณะที่ดัชนีชี้วัดราคาโลหะพุ่งสูง 67% ในขณะที่ทั่วโลกได้ใช้เงินกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ