ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันพฤหัสบดี (15 พ.ค.) หลังข้อมูลจีดีพีของอังกฤษแข็งแกร่งกว่าคาด ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแตกต่างกัน
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,633.75 จุด เพิ่มขึ้น 48.74 จุด หรือ +0.57%
เศรษฐกิจอังกฤษขยายตัวมากกว่าที่คาดไว้ในไตรมาสแรกของปี 2568 ซึ่งส่งผลบวกต่อรัฐบาล และ ราเชล รีฟส์ รัฐมนตรีคลังอังกฤษที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากนโยบายขึ้นภาษีธุรกิจและผลกระทบจากสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ
สำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหราชอาณาจักรขยายตัว 0.7% ในไตรมาส 1/2568 ซึ่งแข็งแกร่งกว่าในไตรมาส 4/2567 ที่ขยายตัวเพียง 0.1% และ 0% ในไตรมาส 3/2567
ทั้งนี้ GDP ในไตรมาส 1 ของสหราชอาณาจักรทำสถิติขยายตัวแข็งแกร่งที่สุดในรอบ 1 ปี อีกทั้งทำผลงานได้ดีกว่าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) และนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.6%
หุ้นฮิกมา ฟาร์มาซูติคอลส์ (Hikma Pharmaceuticals) พุ่งขึ้น 7.4% หลังบริษัทยาอังกฤษแห่งนี้ตั้งเป้าหมายทำรายได้ไว้ที่ 5 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 6.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภายในปี 2573
หุ้นเนชันแนล กริด (National Grid) พุ่งขึ้น 3% หลังบริษัทพลังงานหมุนเวียนรายนี้รายงานผลกำไรประจำปีสูงเกินคาด
หุ้นเจดี สปอร์ตส์ (JD Sports) เพิ่มขึ้น 1.4% หลังมีรายงานว่าบริษัทดิกส์ สปอร์ตติง กูดส์ (Dick's Sporting Goods) ใกล้ปิดดีลเข้าซื้อกิจการฟุตล็อกเกอร์ (Footlocker) ซึ่งเป็นคู่แข่ง
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงาน ร่วงลง 2.1% ตามราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงจากความคาดหวังว่าข้อตกลงนิวเคลียร์สหรัฐฯ-อิหร่านอาจทำให้อุปทานน้ำมันเพิ่มขึ้น
หุ้นเซจ กรุ๊ป (Sage Group) ร่วง 3.8% หลังบริษัทรายงานว่าการเติบโตของรายได้ในอเมริกาเหนือชะลอตัวลง