ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงในวันพฤหัสบดี (22 พ.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการคลังที่เลวร้ายลงในสหรัฐฯ และข้อมูลการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอังกฤษที่สูงกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,739.26 จุด ลดลง 47.20 จุด หรือ -0.54%
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ซึ่งควบคุมโดยพรรครีพับลิกัน ได้ผ่านร่างกฎหมายด้านภาษีและการใช้จ่ายด้วยคะแนนเสียงเฉียดฉิว ซึ่งเป็นกฎหมายที่จะผลักดันนโยบายหลักของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ
นักลงทุนกังวลว่า หากร่างกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ จะทำให้หนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นราว 3.8 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า จากระดับหนี้ปัจจุบันที่ 36.2 ล้านล้านดอลลาร์
ส่วนในอังกฤษนั้น ข้อมูลแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลมีการกู้ยืมสูงกว่าคาดในเดือนเม.ย. ซึ่งบ่งชี้ถึงแรงกดดันที่ต่อเนื่องด้านการคลังของประเทศ
ราคาพันธบัตรของรัฐบาลอังกฤษที่ปรับตัวลง ยิ่งสะท้อนความกังวลของนักลงทุนต่อภาวะการคลังของประเทศที่ตึงตัว ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาวยังคงอยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบหลายเดือน ซึ่งยิ่งตอกย้ำความวิตกของตลาดเกี่ยวกับแนวโน้มการคลังของเศรษฐกิจขนาดใหญ่ที่สุดของโลก
ส่วนดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมของอังกฤษ ซึ่งสะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจภาคเอกชน ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 49.4 ในเดือน พ.ค. จาก 48.5 ในเดือนเม.ย. ใกล้เคียงกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้
ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานลดลง 1.5% ตามราคาน้ำมันที่ร่วงลงมากกว่า 1% โดยหุ้นเชลล์ (Shell) และหุ้นบีพี (BP) ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงานต่างร่วงลง 1.5%
แต่หุ้นของบริษัทจอห์นสัน แมทธีย์ (Johnson Matthey) พุ่งขึ้น 30.7% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปี หลังบริษัทเคมีภัณฑ์รายนี้ตกลงขายธุรกิจให้แก่บริษัทฮันนีเวลล์ อินเตอร์เนชันแนล (Honeywell International)