ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลดลงในวันศุกร์ (23 พ.ค.) โดยถูกกดดันจากความตึงเครียดทางการค้าระลอกใหม่ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เสนอให้เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรป (EU) ในอัตรา 50% ซึ่งบดบังบรรยากาศเชิงบวกจากข้อมูลเศรษฐกิจของอังกฤษ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ ปิดที่ 8,717.97 จุด ลดลง 21.29 จุด หรือ -0.24%
เงินปอนด์อังกฤษแข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี เพิ่มแรงกดดันต่อดัชนีหุ้นที่เน้นการส่งออกของอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม ดัชนี FTSE 100 ปิดบวกติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สอง และปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดหุ้นยุโรป เนื่องจากอังกฤษไม่ได้เป็นสมาชิก EU แล้ว หลังจากลงประชามติ Brexit ในปี 2559 และเพิ่งทำข้อตกลงการค้าทวิภาคีแบบจำกัดกับสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
แต่ตลาดหุ้นอังกฤษเผชิญแรงกดดันตั้งแต่ต้นสัปดาห์จากความกังวลเรื่องหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ และตัวเลขขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลอังกฤษที่สูงกว่าคาด ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษอายุ 10 ปีลดลงในวันศุกร์ เช่นเดียวกับพันธบัตรสหรัฐฯ หลังจากที่พุ่งขึ้นในช่วงต้นสัปดาห์ เนื่องจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ที่พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก ได้ผ่านร่างกฎหมายลดภาษีและเพิ่มงบประมาณครั้งใหญ่
ข้อมูลในวันเดียวกันยังเผยว่าการจับจ่ายของผู้บริโภคในอังกฤษดีขึ้นในเดือนเม.ย.จากอากาศที่แจ่มใส ขณะที่ความเชื่อมั่นของครัวเรือนก็ปรับตัวดีขึ้นในเดือนนี้
อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มเหมืองแร่พุ่งขึ้น 3.5% ตามราคาทองคำที่เพิ่มขึ้น และช่วยลดแรงกดดันในตลาด