ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันอังคาร (3 มิ.ย.) หลังจากหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศพุ่งขึ้นจากข่าวที่ว่ารัฐบาลอังกฤษจะเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมครั้งใหญ่ และหุ้นกลุ่มพลังงานรายใหญ่ก็ปรับตัวตามราคาน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,787.02 จุด เพิ่มขึ้น 12.76 จุด หรือ +0.15%
ดัชนีหุ้นกลุ่มอากาศยานและกลาโหมพุ่งขึ้น 2.5% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังเคียร์ สตาร์เมอร์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษให้คำมั่นว่าจะเพิ่มงบประมาณกลาโหมในระดับสูงที่สุดนับตั้งแต่สงครามเย็นสิ้นสุดลง
หุ้นเชลล์ (Shell) พุ่งขึ้น 1.7% ขณะที่หุ้นบีพี (BP) เพิ่มขึ้น 0.6% ตามการดีดตัวขึ้นเกือบ 2% ของราคาน้ำมันดิบ
ในทางกลับกัน หุ้นเหมืองแร่ทั้งกลุ่มโลหะอุตสาหกรรมและโลหะมีค่า ลดลงกลุ่มละมากกว่า 1% จากแรงกดดันของราคาทองคำและทองแดงที่ปรับตัวลง
แม้ตลาดบวกขึ้นในวันอังคาร แต่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนยังคงเปราะบาง ขณะจับตาความเคลื่อนไหวด้านการค้า หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันศุกร์ (30 พ.ค.) ว่าจะเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50%
องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งมีสำนักงานในกรุงปารีส ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลก และระบุว่าสงครามการค้ากำลังสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ รุนแรงยิ่งขึ้น
OECD ยังเรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษดำเนินมาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพื่อลดการกู้ยืมและหนี้สาธารณะ ก่อนที่รัฐมนตรีคลังราเชล รีฟส์ จะเปิดเผยแผนใช้จ่ายระยะยาวในไม่กี่วันข้างหน้า
ตลาดหุ้นอังกฤษดีดตัวกลับจากจุดต่ำสุดในเดือนเม.ย. สอดคล้องกับแนวโน้มทั่วโลกที่หันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น หลังจากท่าทีของทรัมป์เรื่องภาษีผ่อนคลายลง โดยดัชนี FTSE 100 ขณะนี้อยู่ต่ำกว่าระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เพียงราว 1%
สำหรับหุ้นรายตัวนั้น หุ้นเคมริง กรุ๊ป (Chemring Group) พุ่งขึ้น 6.7% หลังบริษัทด้านการป้องกันประเทศรายนี้เปิดเผยว่าได้รับคำสั่งซื้อสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วง 6 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 เม.ย. ทำให้ราคาหุ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 4 ปี, หุ้นเพียร์สัน (Pearson) ร่วง 6.6% หลังบริษัทไอดีพี เอ็ดดูเคชัน (IDP Education) ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นบริษัทด้านการศึกษาคู่แข่งของเพียร์สันคาดการณ์ว่า กำไรทั้งปีจะลดลง และหุ้นจีเอสเค (GSK) ร่วง 2.1% หลังโบรกเกอร์เบเรนเบิร์ก (Berenberg) ปรับลดคำแนะนำหุ้นจาก "ซื้อ" เป็น "ถือ"