ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันพุธ (4 มิ.ย.) หลังจากหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์และกลุ่มเหมืองแร่นำตลาดปรับตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนทั่วโลกเพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและจับตาความคืบหน้าด้านการเจรจาการค้าโลก
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,801.29 จุด เพิ่มขึ้น 14.27 จุด หรือ +0.16%
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์เป็นหนึ่งในกลุ่มที่หนุนตลาดมากที่สุด โดยหุ้นแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) ซึ่งเป็นหุ้นขนาดใหญ่ในดัชนี ปรับตัวขึ้นมากกว่า 1%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 1.4% ตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์พื้นฐานที่ปรับตัวขึ้น
แต่หุ้นกลุ่มพลังงานลดลง 1.4% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบร่วงลง หลังข้อมูลจากสหรัฐฯ บ่งชี้ว่า ปริมาณน้ำมันเบนซินและดีเซลในสต๊อกเพิ่มขึ้นมากกว่าคาด
นักลงทุนทั่วโลกจับตาการเจรจาการค้า โดยผู้แทนเจรจาการค้าระดับสูงจากทั้งสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ ระบุว่าการหารือกำลังดำเนินไปในทิศทางที่ดี
รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศในช่วงดึกของวันอังคาร (3 มิ.ย.) ว่า จะไม่เพิ่มภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมเป็นสองเท่าสำหรับสหราชอาณาจักร เพียงไม่กี่ชั่วโมง หลังจากรัฐบาลอังกฤษเปิดเผยว่าสองประเทศเห็นพ้องถึงความจำเป็นในการดำเนินการตามข้อตกลงลดภาษีโดยเร็วที่สุด
ความสนใจของตลาดอยู่ที่การเจรจาการค้า โดยในวันพุธ (4 มิ.ย.) เป็นเส้นตายสำหรับประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ ที่จะยื่นข้อเสนอเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่จะมีผลบังคับใช้ในช่วงต้นเดือนก.ค. 2568
ตลาดหุ้นอังกฤษฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในเดือนเม.ย. หลังจากบรรลุข้อตกลงการค้าแบบจำกัดกับสหรัฐฯ เมื่อต้นเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา โดยดัชนี FTSE 100 ขณะนี้อยู่ห่างจากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์เพียงราว 1%
ขณะเดียวกัน ข้อมูลดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) จากเอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) บ่งชี้ว่า ภาคบริการของอังกฤษกลับมาขยายตัวเล็กน้อยในเดือนพ.ค. หลังจากหดตัวในเดือนเม.ย. อันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับภาษีของทรัมป์