ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันศุกร์ (13 มิ.ย.) โดยถูกกดดันจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น หลังจากอิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่าน อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานที่ปรับตัวขึ้นช่วยจำกัดการร่วงของดัชนี
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,850.63 จุด ลดลง 34.29 จุด หรือ -0.39%
อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอิหร่านในวันศุกร์ โดยมุ่งเป้าไปที่โรงงานนิวเคลียร์และโรงงานผลิตขีปนาวุธ เพื่อขัดขวางไม่ให้อิหร่านพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่อิหร่านยืนกรานว่าโครงการนิวเคลียร์ของตนมีวัตถุประสงค์เพื่อสันติเท่านั้น
อิสราเอลระบุว่าอิหร่านยิงโดรนราว 100 ลูกเข้าสู่อาณาเขตของตนเพื่อตอบโต้ในวันศุกร์ แต่ทางการอิหร่านปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ และยังไม่มีรายงานว่าโดรนใดโจมตีเป้าหมายในอิสราเอลได้สำเร็จ
ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงนี้ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังของนักลงทุนที่ต้องรับมือกับความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์อยู่แล้ว
ความตึงเครียดทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นประมาณ 6% และกดดันหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและนันทนาการอย่างหนัก โดยราคาหุ้นของไอซีเอจี (ICAG) เจ้าของสายการบินบริติชแอร์เวย์ ร่วง 3.7%, อีซีเจ็ต (EasyJet) ร่วง 2.7% และวิซแอร์ (Wizz Air) ดิ่งลง 5.6% เนื่องจากสายการบินทั่วโลกต้องระงับการบินผ่านน่านฟ้าในตะวันออกกลางและเปลี่ยนเส้นทางบิน
หุ้นคาร์นิวัล (Carnival) บริษัทเรือสำราญที่จดทะเบียนในลอนดอน ร่วงลง 3.4%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานช่วยพยุงตลาด โดยหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 0.8% จากแรงหนุนของหุ้นบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง เชลล์ (Shell) และ บีพี (BP)
ขณะที่นักลงทุนแห่เข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยและดันราคาทองคำพุ่งขึ้น 1% ส่งผลให้หุ้นกลุ่มเหมืองแร่โลหะมีค่า พุ่งขึ้น 2.8%
ตลาดจะจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม
ผลสำรวจจากธนาคารกลางบ่งชี้ว่า ประชาชนในอังกฤษยังคงคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อในระยะกลางจะอยู่ในระดับสูงสุดในรอบหลายปี แม้ว่าการคาดการณ์เงินเฟ้อในระยะสั้นจะลดลงก็ตาม