ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันพฤหัสบดี (26 มิ.ย.) โดยเฉพาะดัชนีหุ้นกลุ่มขนาดกลางซึ่งปิดที่ระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน ขณะที่นักลงทุนประเมินผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย หลังข้อมูลล่าสุดชี้ให้เห็นถึงการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลง
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดที่ 8,735.60 จุด เพิ่มขึ้น 16.85 จุด หรือ +0.19%
ดัชนี FTSE 100 ปิดบวก แม้เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริษัทที่มีรายได้เป็นดอลลาร์สหรัฐ เช่น ยูนิลีเวอร์ (Unilever) และ เอชเอสบีซี (HSBC)
นักลงทุนยังให้ความสนใจกับถ้อยแถลงล่าสุดของเชลล์ (Shell) หลังบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานรายนี้ปฏิเสธรายงานข่าวว่าอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อกิจการบีพี (BP) โดยราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทปรับตัวขึ้นเล็กน้อย
นอกจากนี้ ความสนใจยังคงอยู่ที่ทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หลังมีรายงานว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมแต่งตั้งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนใหม่ล่วงหน้า ซึ่งกระตุ้นการคาดการณ์ว่าอาจมีการลดดอกเบี้ย ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างมาก
เงินปอนด์ยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง แม้ผลสำรวจชี้ว่ายอดขายปลีกของอังกฤษในเดือนนี้หดตัวลง และคาดการณ์ในภาคธุรกิจค้าปลีกสำหรับเดือนก.ค. ก็แย่ลงเช่นกัน
ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจภายในประเทศเริ่มอ่อนแรง และนักลงทุนประเมินว่า มีโอกาสราว 64% ที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะลดดอกเบี้ยในเดือนส.ค.นี้
ดัชนี FTSE Midcap ขยับขึ้น 0.8% ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2566 โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่า บริษัทที่เน้นตลาดในประเทศได้รับผลกระทบน้อยจากความไม่แน่นอนด้านการค้า อีกทั้งสหราชอาณาจักรยังเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ลงนามข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ แล้ว
ในบรรดาบริษัทที่รายงานผลประกอบการนั้น หุ้นอินช์เคป (Inchcape) พุ่งขึ้น 5.9% หลังบริษัทจัดจำหน่ายรถยนต์รายนี้คงแนวโน้มผลประกอบการทั้งปีไว้ได้ ด้วยมาตรการลดต้นทุนที่ช่วยลดผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ และการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น