ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์พุ่งขึ้นกว่า 100 จุด ขณะที่นักลงทุนจับตามาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐต่อประเทศคู่ค้า
ณ เวลา 19.06 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์บวก 124 จุด หรือ 0.28% สู่ระดับ 44,636 จุด
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวระบุว่า นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลื่อนเส้นตายการเรียกเก็บอัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐต่อประเทศคู่ค้าเป็นวันที่ 1 ส.ค. จากเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 9 ก.ค. เพื่อเปิดโอกาสในการเจรจาทำข้อตกลงกับประเทศคู่ค้า
แหล่งข่าวระบุว่า นายเบสเซนต์มองว่าสหรัฐกำลังมีความคืบหน้าในการเจรจากับประเทศคู่ค้าบางประเทศ เช่น อินเดีย และสหภาพยุโรป (EU) ดังนั้นเขาจึงขอเวลาเพิ่มขึ้นในการเจรจาข้อตกลงการค้า
นอกจากนี้ นายเบสเซนต์กล่าวว่า สหรัฐสามารถจัดเก็บภาษีศุลกากรคิดเป็นจำนวนเงิน 1 แสนล้านดอลลาร์นับตั้งแต่ต้นปีนี้ และตัวเลขดังกล่าวอาจเพิ่มขึ้นเป็น 3 แสนล้านดอลลาร์ภายในเดือนธ.ค.
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ส่งจดหมายเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราใหม่ต่อ 14 ประเทศเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ส.ค.
สหรัฐเรียกเก็บภาษีในอัตรา 25% ต่อสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น เกาหลีใต้ มาเลเซีย คาซัคสถาน และตูนิเซีย ขณะที่สินค้าจากแอฟริกาใต้และบอสเนียจะถูกเก็บภาษีนำเข้า 30% ส่วนสินค้าจากอินโดนีเซียถูกเรียกเก็บภาษี 32%
นอกจากนี้ บังกลาเทศและเซอร์เบียถูกเก็บภาษี 35% ขณะที่กัมพูชาและไทยถูกเก็บภาษี 36% ส่วนลาวและเมียนมาถูกเก็บภาษี 40%
ล่าสุด ปธน.ทรัมป์กล่าววานนี้ว่า เขาจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าทองแดงในอัตรา 50% และมีแผนเก็บภาษีนำเข้ายาในอัตรา 200%
ขณะเดียวกัน นักลงทุนจับตาการเปิดเผยรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ประจำวันที่ 17-18 มิ.ย.ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีนี้