ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 400 จุดในวันอังคาร (15 ก.ค.) หลังสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สูงเกินคาดในเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของหุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 44,023.29 จุด ลดลง 436.36 จุด หรือ -0.98%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,243.76 จุด ลดลง 24.80 จุด หรือ -0.40% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 20,677.80 จุด เพิ่มขึ้น 37.47 จุด หรือ + 0.18%
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่าดัชนี CPI ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2.6% และสูงกว่าในเดือนพ.ค.ที่ปรับตัวขึ้น 2.4%
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.9% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งแม้จะต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 3.0% แต่ก็สูงกว่าในเดือนพ.ค.ที่ปรับตัวขึ้น 2.8%
ตัวเลข CPI ที่มีการเปิดเผยล่าสุดทำให้นักลงทุนกังวลว่ามาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้สหรัฐฯ เผชิญกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีก และจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ตรึงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง
อย่างไรก็ดี ดัชนี Nasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นอินวิเดียที่พุ่งขึ้นกว่า 4% หลังบริษัทประกาศว่าจะส่งชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI) H20 ไปขายให้กับลูกค้าในจีนอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ แจ้งกับอินวิเดียว่าจะออกใบอนุญาตการส่งออกชิปดังกล่าวให้กับจีน
บริษัทจดทะเบียนหลายแห่งเริ่มรายงานผลประกอบการ โดยซิตี้กรุ๊ป (Citigroup) เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 1.96 ดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 1.60 ดอลลาร์ ส่งผลให้หุ้นซิตี้กรุ๊ปทะยานขึ้น 3.7% ปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลก
หุ้นเวลส์ ฟาร์โก (Wells Fargo) ร่วงลง 5.5% หลังจากธนาคารปรับลดคาดการณ์รายได้จากดอกเบี้ยประจำปี 2568 โดยคาดว่าจะใกล้เคียงกับปี 2567 ที่ระดับ 4.77 หมื่นล้านดอลลาร์ จากเดิมที่คาดการณ์ในเดือนเม.ย.ว่าจะมีการขยายตัวในช่วง 1-3%
หุ้นเจพีมอร์แกน เชส (JPMorgan Chase ) ปรับตัวลง 0.7% แม้ว่าธนาคารปรับเพิ่มแนวโน้มรายได้จากดอกเบี้ยในปี 2568
ทางด้าน FactSet ซึ่งเป็นบริษัทผู้ให้บริการข้อมูลทางการเงินคาดการณ์ว่า อัตรากำไรของบริษัทในดัชนี S&P500 จะขยายตัวเพียง 4.3% ในไตรมาส 2/2568 เมื่อเทียบรายปี ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4/2566