ดัชนีดาวโจนส์แทบไม่ขยับ หลังนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ไม่ได้กล่าวถึงนโยบายการเงินของเฟดในการกล่าวสุนทรพจน์วันนี้
ณ เวลา 21.14 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 44,327.52 จุด บวก 4.45 จุด หรือ 0.01%
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มเทคโนโลยี รวมทั้งการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและประเทศคู่ค้า
บริษัทอัลฟาเบท อิงค์ และเทสลา อิงค์ ซึ่งเป็น 2 บริษัทในกลุ่ม Magnificent Seven จะเปิดเผยผลประกอบการในวันพรุ่งนี้
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า 7 บริษัทในกลุ่ม Magnificent Seven จะมีการขยายตัวของผลกำไรในไตรมาส 2/2568 สูงถึง 14% ขณะที่บริษัท 493 แห่งในดัชนี S&P 500 จะมีการขยายตัวของผลกำไรเพียง 3.4%
ทั้งนี้ บริษัทมากกว่า 60 แห่งในดัชนี S&P 500 ได้เปิดเผยผลประกอบการประจำไตรมาส 2/2568 แล้ว โดยบริษัทมากกว่า 85% จากจำนวนดังกล่าวมีตัวเลขกำไรสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
นายพาวเวลกล่าวสุนทรพจน์เปิดการประชุมว่าด้วยการทบทวนแบบบูรณาการเกี่ยวกับกรอบเงินกองทุนสำหรับธนาคารขนาดใหญ่ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี ในวันนี้
ทั้งนี้ นายพาวเวลกล่าวว่า ธนาคารขนาดใหญ่จำเป็นที่จะต้องมีเงินกองทุนอย่างเพียงพอ และมีความสามารถในการบริหารความเสี่ยง
นอกจากนี้ นายพาวเวลยังกล่าวว่า ธนาคารขนาดใหญ่จำเป็นที่จะต้องแข่งขันกันอย่างเสรี
อย่างไรก็ดี นายพาวเวลไม่ได้กล่าวถึงนโยบายการเงินของเฟดในวันนี้ เนื่องจากเฟดเริ่มเข้าสู่ช่วงงดเว้นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงิน (Blackout Period) ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 29-30 ก.ค.
กฎระเบียบของเฟดได้ระบุห้ามเจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นหรือให้สัมภาษณ์ในช่วง Blackout Period เกี่ยวกับนโยบายการเงิน โดยเริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่สองก่อนที่การประชุม FOMC จะเริ่มขึ้น และสิ้นสุดในวันพฤหัสบดีหลังการประชุม FOMC เพื่อป้องกันไม่ให้สาธารณชนตีความว่าเป็นการบ่งชี้การดำเนินการด้านอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมนโยบายการเงินที่จะมาถึง
นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กดดันอย่างหนักให้นายพาวเวลปรับลดอัตราดอกเบี้ย
นอกจากนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน และธันวาคม
ทั้งนี้ FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 95.3% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 29-30 ก.ค.
FedWatch Tool ยังบ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนก.ย. และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนธ.ค.
นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ส่งสัญญาณขยายเส้นตายทางการค้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำหนดขึ้นกับจีน
ก่อนหน้านี้ นายเบสเซนต์ และนายเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ได้พบปะกับนายเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 12 พ.ค. ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้สหรัฐลดอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีนสู่ระดับ 30% จากเดิมที่ระดับ 145% ขณะที่จีนลดอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 125% โดยระยะเวลาผ่อนผัน 90 วันดังกล่าวจะสิ้นสุดลงในวันที่ 12 ส.ค.
ล่าสุด นายเบสเซนต์กล่าวในวันนี้ว่า เขาจะเดินทางไปพบกับเจ้าหน้าที่จีนที่กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ในสัปดาห์หน้า โดยจะมีการเจรจาขยายกำหนดเส้นตายดังกล่าวออกไปเพื่อเปิดทางให้สหรัฐและจีนยังคงทำการเจรจาข้อตกลงการค้าต่อไป
"เราจะเจรจาเพื่อขยายเวลาออกไปในระหว่างการพูดคุยกันที่สตอกโฮล์มในวันจันทร์และอังคารหน้า ผมคิดว่าสถานการณ์การค้ากับจีนในตอนนี้อยู่ในจุดที่ดีมาก"นายเบสเซนต์ยังกล่าวว่า เขาหวังว่าการเจรจาจะครอบคลุมถึงประเด็นอื่น ๆ ที่อาจนำไปสู่การทำข้อตกลงร่วมกัน เช่น การขอให้จีนลดปริมาณการผลิตสินค้าที่เกินความต้องการในตลาด และหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยผู้บริโภค และการที่จีนยังคงซื้อน้ำมันจากรัสเซียและอิหร่านที่ถูกสหรัฐคว่ำบาตร รวมทั้งบทบาทของจีนในการช่วยเหลือรัสเซียในการทำสงครามยูเครน