ตลาดหุ้นลอนดอนปิดลบในวันศุกร์ (12 ก.ย.) โดยถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและกลุ่มเฮลท์แคร์ ขณะนักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญภายในประเทศ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,283.29 จุด ลดลง 14.29 จุด หรือ -0.15%
ดัชนี FTSE 100 ปิดลดลง แต่บวกขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่สอง โดยแรงหนุนในสัปดาห์นี้มาจากความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดดอกเบี้ยในไม่ช้า, ราคาทองคำที่พุ่งขึ้น และแรงซื้อในหุ้นกลุ่มกลาโหม
ข้อมูลเศรษฐกิจที่เผยแพร่ในวันศุกร์บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจอังกฤษไม่เติบโตในเดือนก.ค. หลังภาคการผลิตหดตัวแรง สอดคล้องกับคาดการณ์การเริ่มต้นครึ่งปีหลังที่ซบเซา
นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า แนวโน้มการเติบโตของสหราชอาณาจักรยังคงอ่อนแอ และแม้การเติบโตชะลอตัว แต่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) อาจยังตรึงดอกเบี้ยไปจนถึงต้นปีหน้า เนื่องจากเงินเฟ้อที่ยังยืดเยื้อและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการประกาศงบประมาณในเดือนพ.ย.
หุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์ร่วง 1.2% โดยหุ้น AstraZeneca ลดลง 1.4% และหุ้นกลุ่มพลังงานลดลง 0.5% โดยหุ้น BP ร่วง 1%
หุ้นเหมืองแร่โลหะมีค่าลดลง 0.8% โดยหุ้น Fresnillo ร่วง 1.8% ขณะที่หุ้นบางส่วนในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคลดลง เช่น หุ้น Diageo ร่วง 1.9%
หุ้นค้าปลีกลดลง 0.7% โดยหุ้น JD Sports Fashion ร่วง 2.2%
แต่หุ้นกลุ่มการบินและกลาโหมบวกเกือบ 1% ทำสถิติสูงสุดใหม่ และบวกแรงสุดในรอบกว่า 6 เดือน โดยหุ้น BAE Systems พุ่งขึ้น 1.7%
ส่วนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคอย่าง United Utilities และ SSE ต่างพุ่งขึ้น 1.6%
หุ้นเหมืองแร่อุตสาหกรรมปรับขึ้นตามราคาทองแดงที่สูงขึ้น โดยหุ้น Glencore พุ่ง 1.6%
ด้านสหรัฐฯ นั้น อัตราเงินเฟ้อจากดัชนีผู้บริโภคอยู่ที่ 2.9% ซึ่งสะท้อนผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่เริ่มส่งผ่านไปยังราคา แต่ตลาดกลับมองว่าเป็นปัจจัยบวก
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวนั้น หุ้น Ocado ร่วง 19.9% หลังจากหุ้นส่วนในสหรัฐฯ อย่าง Kroger ส่งสัญญาณอาจชะลอการลงทุนในคลังสินค้าอัตโนมัติ ขณะที่ JTC เปิดเผยว่ากำลังเจรจาแยกต่างหากกับกองทุนไพรเวทอิควิตี Warburg และ Permira ทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้น 15.8% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์