ตลาดหุ้นลอนดอนปิดบวกในวันศุกร์ (26 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ขณะที่นักลงทุนไม่ได้สนใจกับการขู่เรียกเก็บภาษีรอบใหม่จากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ดัชนี FTSE 100 ปิดตลาดที่ระดับ 9,284.83 จุด เพิ่มขึ้น 70.85 จุด หรือ +0.77% และปิดตลาดสัปดาห์นี้เพิ่มขึ้น 0.74%
หุ้นธนาคารขนาดใหญ่ดีดตัวขึ้น 1.7% หลังนักกลยุทธ์ของ Citigroup แนะนำ overweight หุ้นกลุ่มธนาคารยุโรป โดยมี HSBC และ NatWest เป็นหุ้นเด่น ซึ่งพุ่งขึ้น 1.3% และ 3% ตามลำดับ
หุ้นกลุ่มท่องเที่ยวและนันทนาการเพิ่มขึ้น 1.6% นำโดยหุ้น InterContinental Hotels Group (IHG) ที่พุ่งขึ้น 4% หลัง JPMorgan ปรับคำแนะนำลงทุนขึ้นจาก underweight เป็น overweight ส่งผลให้ IHG เป็นหุ้นที่บวกแรงสุดเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของดัชนี FTSE 100
หุ้นน้ำมันขนาดใหญ่ อาทิ Shell และ BP ปรับตัวขึ้น 1.3% และ 1.2% ซึ่งหนุนดัชนีพลังงานโดยรวม หลังราคาน้ำมันขยับขึ้นในวันศุกร์
ความตึงเครียดด้านการค้าปะทุขึ้นอีกครั้งหลังจากทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้ารอบใหม่กับสินค้านำเข้าหลายประเภท รวมถึงการเก็บภาษี 100% สำหรับยาที่มีแบรนด์
สหราชอาณาจักรเปิดเผยในวันศุกร์ว่า กำลังหารือกับสหรัฐฯ เกี่ยวกับมาตรการด้านเภสัชภัณฑ์ โดยหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่เป็นบวก
ดัชนีหุ้นกลุ่มเภสัชภัณฑ์และไบโอเทคของอังกฤษเพิ่มขึ้น 0.6%
แคธลีน บรูคส์ ผู้อำนวยการวิจัยของ XTB กล่าวว่า AstraZeneca อาจได้เปรียบกว่าคู่แข่งในยุโรปบางราย เนื่องจากให้คำมั่นลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐฯ พร้อมชี้ว่าทรัมป์ยังสัญญาว่าจะปฏิบัติต่อสหราชอาณาจักรต่างออกไปในเรื่องภาษีนี้ โดยเธอระบุว่า FTSE 100 อาจกลายเป็นที่หลบภัยชั่วคราวท่ามกลางพายุภาษีรอบล่าสุด
AstraZeneca เปิดเผยเมื่อวันศุกร์ว่าจะจำหน่ายยารักษาเบาหวานและหืดโดยตรงให้แก่ผู้ป่วยในสหรัฐฯ ที่จ่ายเงินสด โดยลดราคาสูงสุดถึง 70% จากราคาป้าย
หุ้น Babcock พุ่ง 3.2% หลังโบรกเกอร์ Berenberg ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย
ผลสำรวจบ่งชี้ว่า ความคาดหวังด้านเงินเฟ้อระยะยาวของอังกฤษขยับขึ้นเป็น 4.1% ในเดือนก.ย. จาก 3.9% ในเดือนส.ค. ขณะที่ในสหรัฐฯ ข้อมูลเงินเฟ้อที่ออกมาตามคาดช่วยบรรเทาความกังวลที่ว่า ภาวะเงินเฟ้อที่ระดับสูงอาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เลื่อนการปรับลดอัตราดอกเบี้ย